sermsoon เขียน:เผอิญผมและคุณพ่อได้รับความกรุณาจากอาจารย์ ให้เข้าพบและเยี่ยมชมเป็นการส่วนตัว
ใน วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม เวลาประมาณ 10.00 น. เป็นต้นไป (เวลาอาจเปลี่ยนแปลงได้)
จึงคิดว่า หากเพื่อนๆ คนไหนสนใจ จะร่วมเข้าชมด้วย อาจารย์คงไม่รังเกียจและคงจะดีใจ
จึงแจ้งมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน ในการนี้ ผมและคุณพ่อมีของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ
จะนำไปมอบให้พิพิธภัณฑ์ด้วย
พิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ที่ ถนนลาดพร้าว ซอย 43 สุดซอย ผมคงจะไปถึงที่นั่นราวก่อน 10.00 น. เล็กน้อย
หากใครต้องการนัดหมายเวลาและสถานที่เพื่อไปด้วยกัน โปรดแจ้งได้ครับ ที่นี่
หรือโทร. 08-6302-5133 , 08-1926-1444 ก็ได้ครับ
ขออภัยที่แจ้งข่าวกระทันหัน เพิ่งโทรศัพท์คุยกับอาจารย์เมื่อสิบนาทีก่อนหน้านี้เองครับ
เว็บไซท์ของพิพิธภัณฑ์ทั้งสอง (อาจโหลดช้าหน่อย เพราะไฟล์ ภาพ-เสียง-วิดิโอ เพียบ)
http://www.talkingmachine.org
http://www.talkingmachine.org/indexmain.html
http://www.siamflag.org
winwin เขียน:วันนี้บังเอิญดูทีวี เจอรายการ (ไม่แน่ใจว่าชื่อถูกรึป่าว) รายการมัน มัน มัน
ทางช่อง PBS เค้าถ่ายพิพิธภัณฑ์เครื่องเสียงของ อจ. มา
ดีคับ แต่ไม่ดีที่เค้าออกน้อยไปหน่อย ถ้าคนไม่มีพื้นฐานมาก่อน จะไม่ค่อยรู้เรื่อง
แสดง ว่า producer ไม่เก่งอะ
เชียร์พิพิธภัณฑ์ คับ
("\(*-*)/") เขียน:PAO เขียน:มีสมาชิกใหม่ ที่สนใจเรื่องธงชื่อคุณ xiengyod
มีบล็อคให้ชมกันด้วย หวังว่าคงจะเข้ามาพูดคุยกันในนี้เร็วๆนะครับ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=xiengyod&group=2
และแล้ว!!!...
สมาชิก CokeThai คุณ xiengyod ก็เดินทางมาจากขอนแก่นมาเจอกับสมาชิก CokeThai ("\(*-*)/")
ณ พิพิธภัณฑ์ธงสยาม
เชิญชมภาพเลยนะครับ
ภาพแรก...
ก่อนอื่นต้องบอกว่าคุณสุทธิพงษ์ พื้นแสน นี่เป็นมือวางอันดับต้นๆ เรื่องธงแห่งชาติเลยล่ะครับ...ภาพนี้เป็นภาพที่ผมมอบหนังสือเรื่อง ธงไทย ของอาจารย์ฉวีงามให้กับคุณสุทธิพงษ์ครับ
("\(*-*)/") เขียน:Bangkok Post พาดหัวข่าว
Hoisting the flag of Siam
The 'thong chang' will fly again to honour King Chulalongkorn
Story by PLOENPOTE ATTHAKOR
Decades after it was decommissioned and disappeared from public sight, the flag of Siam or thong chang _ a red flag with the image of a white elephant at the centre _ will be flown permanently at a private museum in Lat Phrao district from Tuesday onwards.
Pluethipol Prachumphol, operator of the Siam Flag Museum, said the flag will be flown to commemorate King Chulalongkorn the Great and the 100th anniversary of his second trip to Europe in 1907. Oct 23 is also Chulalongkorn or Piyamaharat Day.
''The ceremony is aimed at remembering our great king and his dedication to this kingdom, in particular his efforts to keep old Siam free from the colonial powers,'' he said.
It also marks the official opening of the Siam Flag Museum, which is in the compound of the Antique Phonograph & Gramophone Museum, he said.
Mr Pluethipol pointed out that the flag to be flown at the museum is a reproduction of thong chang that came into existence in 1891 during the reign of the great monarch.
''Vintage photos show that this type of flag was normally flown at public places or decorated a place where the king visited,'' he said.
One photo features a political event when French officials removed the Siamese flag in Trat, replacing it with the French national flag to demonstrate ownership of land France occupied during a conflict in 1904, he said.
According to Mr Pluethipol, a number of new elephant flags were introduced until 1916 when King Vajiravudh adopted the striped red and white flag.
''However, this flag was in use for a few months before the king opted for the tricolour flag which has been used until today,'' he said.
He said the flag of Siam will be hoisted on the evening of Oct 23 after the national anthem is played and the tricolour flag taken from the flag pole atop the museum.
''Unlike the tricolour flag that is removed from the pole every evening, we will keep the Siamese flag flying permanently at the museum just like in the old days,'' he said.
He said his museum offers the largest collection of Siamese flags, both genuine and reproduced versions, as well as other flag-themed collectibles.
''The genuine ones which were from the reign of King Chulalongkorn are priceless,'' he said.
The museum will be open to visitors every Sunday. Advance appointments are advised at tel 02-9399920.
("\(*-*)/") เขียน:ตามด้วยเดลินิวส์ลงหน้า 4 เต็มหน้า
วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ถือเป็นวันที่ มีความหมายอย่าง ยิ่ง ด้วยตรงกับ วันปิยมหาราช และตรงกับปีครบรอบ 100 ปี ที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2450-2550) เพื่อแก้ไขวิกฤติชาติ ไม่ให้ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่น
ด้วยรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมความตั้งใจอันแรงกล้าที่จะเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่พระองค์ทรงทุ่มเทพระวรกาย ในการปกป้องรักษาผืนแผ่นดินสยามให้หลุดพ้นจากสภาพเมืองขึ้น และคงความเป็นเอกราชเพื่อให้ลูกหลานชาวไทยได้มีแผ่นดินอยู่สืบไปกระทั่งทุกวันนี้...
พิพิธภัณฑ์ธงสยาม โดย อาจารย์พฤฒิพล ประชุมผล ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ธงสยาม จึงได้จัดทำ โครงการติดตั้งเสาธงเพื่อประดับธงสยาม หรือธงช้างที่สูงที่สุดในประเทศไทย บนดาดฟ้าของอาคารพิพิธภัณฑ์ ธงสยาม ซึ่งถือเป็นเสาธงที่ ทันสมัยที่สุดในโลกแบบหนึ่ง สามารถเก็บเชือกไว้ภายในเสาธงได้วัสดุที่ใช้เป็นไฟเบอร์กลาส มาตรฐานยุโรป ยอดเสาประดับด้วยลูกแก้วเคลือบทองด้านใน โดยเมื่อติดตั้งแล้วจะมีความสูงโดยรวมจากพื้นดินประมาณเกือบ 30 เมตร
อาจารย์พฤฒิพล กล่าวเพิ่มเติมว่า พิธีอัญเชิญธงสยาม (ธงช้าง) ขึ้นสู่ยอดเสาซึ่งจะมี ขึ้นในวันนี้ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 จะเริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป โดย อาจารย์ปรียานุช นาคคง อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ผู้อำนวย การพิพิธภัณฑ์ของจิ๋วและเลขา ธิการมูลนิธิพิพิธภัณฑ์ไทย พร้อม ด้วย อาจารย์กรรณิการ์ ชีวภักดี
ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์การกระ จายเสียงและหอจดหมายเหตุกรมประชาสัมพันธ์ ผู้ร่วมก่อตั้งศูนย์โสตทัศน์แห่งชาติ จะร่วมกันทำการอัญเชิญธงช้างที่วางอยู่บนพานทองขึ้นผูกกับเชือก
จากนั้น อาจารย์ดรุณีนาถ นาคคง ประธานมูลนิธิพิพิธภัณฑ์ ไทย ผู้ได้รับรางวัลพระราชทานบุคคลดีเด่นทางวัฒนธรรมและรางวัลเพชรสยาม พร้อมด้วย อาจารย์เอนก นาวิกมูล ผู้ที่ได้รับรางวัลสังข์เงิน รางวัลเพชรสยาม นักค้นคว้าประวัติศาสตร์ นักเขียน และเป็นผู้อำนวยการบ้านพิพิธ ภัณฑ์ ที่ทุกคนรู้จักกันดี จะร่วม กันอัญเชิญธงช้างขึ้นสู่ยอดเสา มีการยิงสปอตไลต์จาก 2 ข้างของอาคาร โดยลำแสงจะพุ่งสู่ธงสยามที่ประดับอยู่บนยอด ดูสวยงามจับใจไทยทั้งหล้า พร้อมกันนั้น ภายในงานจะมีการจัดตั้งรูปหล่อองค์พระบาทสมเด็จพระ จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขนาดใหญ่ พร้อมเครื่องบูชา และพวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อให้ทุกท่านที่มาร่วมงานได้ร่วมกันกราบไหว้สักการะรำลึกถึงพระมหากรุณา ธิคุณของพระองค์ท่านด้วย
นับเป็นอีกหนึ่งความ จงรักภักดีที่ประชาชนชาวไทยร่วมใจจัดขึ้นเพื่อเทิดพระเกียรติ พร้อมรำลึกถึงพระมหากรุณา ธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล ที่ 5 เนื่องในโอกาสสำคัญ ?วันปิยมหาราช? เวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง.
การเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ 2 (พ.ศ.2450) กับความพยายามรักษาเอกราชและอธิปไตยของสยาม
ในปี พ.ศ. 2447 ได้เกิด ข้อตกลงพิเศษระหว่างฝรั่งเศสและอังกฤษ ว่าด้วยเรื่องความร่วมมือกันครอบครองดินแดนสยาม โดยในเนื้อหาข้อตกลงดังกล่าวได้ระบุไว้ว่า ดินแดนสยามทางภาคตะวันออกและตะวันออกเฉียงใต้ของแม่น้ำเจ้าพระยา จะถูกปกครองและขึ้นตรงกับฝรั่งเศส ส่วนทางด้านตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาและอ่าวไทยจะอยู่ภายใต้การปกครองและขึ้นตรงกับอังกฤษ ส่วนภาคกลางให้ถือเป็นเขต ปกครองร่วมของทั้งสองประเทศ จากข้อตกลงดังกล่าว ย่อมหมายถึงทั้งฝรั่งเศส และอังกฤษต่างต้องการสยามเป็นอาณานิคม โดยแบ่งออกเป็น 3 เขตปกครอง
แม้ข้อตกลงดังกล่าวจะยังไม่มีผลในทางปฏิบัติ แต่ในปีเดียวกันนั่นเอง สยามก็ต้องเสียดินแดนเพิ่มขึ้นตามอนุสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) ที่ต้องยกดินแดนในส่วนเมืองหลวงพระบาง มโนไพร และจำปาสัก เพื่อแลกกับจันทบุรีกลับคืนมา ถึงกระนั้น ฝรั่งเศสก็ยังส่งทหารเข้ายึดตราดไว้เป็นดินแดนประกันว่าสยามจะทำตามสัญญาแทนจันทบุรี
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงตระหนัก ถึงภัยที่สยามกำลังจะสูญสิ้นเอกราชในไม่ช้านี้แล้ว จึงทำให้พระองค์จำเป็นต้องเสด็จประพาสยุโรปเป็นครั้งที่ 2 เพื่อแก้ปัญหาดินแดนสยามที่กำลังจะตกเป็นเมืองขึ้น แม้ในขณะนั้นพระพลานามัยของพระองค์ท่านจะไม่ดีเนื่องจากเป็นโรคพระวักกะ (โรคไต) ก็ตาม
ในระหว่างที่พระองค์ท่านเสด็จประพาสยุโรป ได้มีการเจราจาต่อรองกับฝรั่งเศสโดยตรง กระทั่งเกิดเป็น สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส (ค.ศ. 1907) ตรงกับวันที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2450 โดยพระองค์ท่านทรงลงพระปรมาภิไธยรับรองด้วยพระองค์เองในกรุงปารีส โดยสัญญาฉบับนี้ได้ยุติอำนาจและบทบาทของฝรั่งเศสบนแผ่นดินสยามอย่างสิ้นเชิง แต่ก็มีข้อแลกเปลี่ยนคือ สยามต้องยอมเสียสละเมืองเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ อันเป็นหัวเมืองเขมรให้ฝรั่งเศสไป โดยแลกกับการได้ตราดกลับมา
สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศสฉบับดังกล่าวนี้ถือเป็นแม่บทสำคัญ เพราะต่อมาสยามก็ได้ทำสนธิสัญญาแบบเดียวกันกับอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2452 (เป็นเวลาเพียง 1 ปีก่อนที่พระองค์ท่านเสด็จสวรรคต) ซึ่งส่งผลให้อำนาจและบทบาทของอังกฤษทางฝั่งขวาของสยามยุติลงอย่างสิ้นเชิงเช่นกัน
นับจาก พ.ศ. 2450 เป็นต้นมา สยามจึงคงความเป็นเอกราช อธิปไตย และดำรงความเป็นไทตราบจนกระทั่งถึงทุกวันนี้
?ศิริรัตน์ สาโพธิ์สิงห์?
กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน