ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

รวมกิจกรรม ความเคลื่อนไหว พาเที่ยว เกมส์

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » ศุกร์ ส.ค. 27, 2010 12:05 pm

11August2010 ความพยายามเป็นส่วนหนึ่งของทุกความสำเร็จ


เกือบสิบโมงแล้ว วันพุธที่ 11 สิงหาคม 2010 @ my home sweet home


(อ้าว พรุ่งนี้เป็นวันแม่นี่หว่า)


ช่วงนี้มีหลายเรื่องให้ต้องคิดต้องเตรียม พักหลังนี่กลับมาเข้างานช่วงเที่ยงครึ่งอีกแล้ว ทำให้รู้สึกชีวิตตัวเองดูแปลกๆ ดูห่างเหินกับเทรฟแบบงงๆ เพราะจะเจอกันก็ตอนสะลึมสะลือตอนเช้าก่อนเทรฟออกไปทำงานกับเจอกันตอนเรากลับมาจากทำงานตอนสามทุ่มกว่า นั่งคุยกันนิดหน่อยก็ได้เวลาเข้านอน น่าแปลก..ที่ว่าแค่เวลาทำงานเปลี่ยนก็ทำให้รู้สึกห่างเหินกับคนข้างๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ..เฮ้อ ไม่ดีๆ


...


เทรฟทำห้องใต้หลังคาเสร็จได้พักใหญ่แล้ว วันก่อนได้มีโอกาสดอดขึ้นไปดู เยี่ยมชมผลงานของคุณสามีที่ขะมักเขม้นทำมาอยู่หลายเดือน เทรฟย้ายของขึ้นมาหมดแล้ว ทำเป็นมุมทำงานสำหรับเราสองคนกันคนละมุม มุมของเทรฟก็อุดมไปด้วยข้าวของที่สะท้อนความสนใจของพ่อคุณทั้งการดูดาว ดนตรี เรดาห์ ภาษา ฯลฯ (หลากหลายจริงๆ) ส่วนมุมเรามองไปทุกอย่างยังอยู่ในกล่องกองรวมๆกันอยู่ที่พื้น เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นมาจัด เทรฟเขาทำได้แค่ยกมาวางรวมกันไว้ให้


เราเข้าไปรื้อๆ ค้นๆ ดูว่ามันมีอะไรอยู่มั่งเพราะตั้งแต่ย้ายบ้านมาก็ย้ายลืมเลยเหมือนกัน เพราะอะไรไม่ได้ใช้ (ยังไม่ถึงเวลาใช้)ก็ไม่ได้สนใจเลย พลิกๆ ดูเจอหนังสือทั้งไทยทั้งอังกฤษปนๆ กันอยู่ แล้วก็พลอยทำให้นึกได้ว่ามีอีกหลายเรื่องเลยที่ต้องเพิ่มเข้าไปในรายการ "สิ่งที่ต้องทำ" (เฮ้อ) ..แต่อย่างนึงที่สะดุดใจอย่างแรง ก็คือบรรดาหนังสือเรียนภาษาอังกฤษเตรียมสอบ IELTS กับ TOFEL รวมกับสมุดจดศัพท์สารพัด..ภาพเก่าๆในวันนั้นพรั่งพรูออกมาเหมือนกระแสความทรงจำที่ถูกอัดแน่นอยู่ในกองหนังสือถ่าโถมเข้าใส่ตัวเองอย่างแรง...


เราน้ำตารื้น..


วันนั้นวันที่ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะไปเรียนต่อ ความมุ่งมั่นในการสอบภาษาอังกฤษให้ผ่านเพื่อเป็นใบผ่านทางขั้นต้นเป็นแรงผลักให้เราลาออกจากงานมาทำวิทยานิพนธ์ มาเรียนภาษา มาจัดการกับชีวิตตัวเอง มาเตรียมความพร้อม ฯลฯ วันนั้นจำได้ว่ามีเงินในกระเป๋าก้อนนึงก่อนลาออก บอกตัวเองว่าภายในระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้เดือนเราต้องเอาตัวเองให้รอด เงินก้อนนี้เป็นทั้งเงินค่าเรียน ค่ากิน ค่าอยู่และเงิน pocket money ตอนนั้นใครมองว่าเราบ้าก็บ้าล่ะวะ ทิ้งทุกอย่าง ลงทุนทุกสิ่ง..จำได้ว่าตื่นเช้าหกโมงนั่งรถเมล์ไปเรียนภาษาเยอรมันช่วงเช้า เรียนภาษาอังกฤษช่วงบ่าย กลับบ้านทำการบ้านภาษา อ่านหนังสือทำวิทยานิพนธ์ เป็นอย่างนี้ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ วันเสาร์เรียนภาษาอังกฤษอีกทีนึง วันอาทิตย์ได้อยู่บ้านอ่านหนังสือปั่นวิทยานิพนธ์ทั้งวัน ก่อนเริ่มวงจรใหม่ในเช้าวันจันทร์..จบภาษาคอร์สนี้ที่นี่ เจอที่ใหม่ที่ไหนที่ว่าดีก็ไปลงเรียนต่อ แพงเท่าไหร่ถ้าสู้ไหวก็ไม่เป็นปัญหา ขอให้ได้ความรู้ในส่วนที่แสวงหาเป็นพอ..ความฝันอันสูงสุด สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้คล่องเหมือนเป็นภาษาของตัวเอง..




มาวันนี้..วันที่เราพูด เราทำ เราคิด เราฝัน เราจินตนาการได้เป็นภาษาอังกฤษ...เรายิ้มกับตัวเอง..ไม่เคยคิดว่าจะมาถึงจุดนี้..แต่พอภาพหนหลังตีวนกลับมาถึงทำให้เรารู้ว่า เรามาถึงจุดนี้ มาถึง ณ วันนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นผลจากความพยายามล้วนๆ


หลายคนเห็นเราคุยกับชาวต่างชาติแล้วบอกกับเราว่า "อิจฉาพี่โปร่งจังเลย อยากพูดภาษาอังกฤษได้เก่งเหมือนพี่จัง" เราได้แต่ยิ้มกลับแล้วตอบว่า "ก็พูดเลยสิจ๊ะ พูดกับพี่ก็ได้" คนพูดได้ยิ้มเอียงอายแล้วก็ไม่ว่าอะไรต่อ..แล้วแบบนี้หนูจะพูดภาษาอังกฤษได้เหรอจ๊ะ..เราคิดในใจ


อยากจะบอกเหลือเกินว่า..พี่ไม่ได้ตื่นเช้ามาแล้วพูดได้คล่องแบบนี้หรอกนะคะ พี่ท่องศัพท์ จด จำ เห็นอะไรก็คิดเป็นภาษาอังกฤษ คิดไม่ได้เป็นประโยคก็คิดเป็นคำก็ยังดี อยากพูดได้คล่องเจอคนต่างชาติที่ไหนก็แถเข้าหา พูดไปงูๆ ปลาๆ เพียงเพราะว่าอยากได้มีโอกาสใช้ วันนี้พูดไปเขาไม่เข้าใจ ไม่เป็นไร เอาใหม่วันหลัง วันนี้พูดไปเขาตอบกลับก็ดีใจกลับไปนอนฝันหวาน แต่ถ้าเขาตอบกลับมาแล้วใบ้กินก็รู้แล้วว่าต้องไปฝึกฟังเพิ่ม เช่าดีวีดีเปิด subtitle เป็นภาษาอังกฤษแล้วฟังตาม พูดตาม เรียนตาม ทุกที่ ทุกเวลา คือทุกโอกาสของการเรียน ฟังดูน่าเบื่อและใช้เวลานาน ชนิดว่าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะไปถึงฝัน..แต่นั่นแหละคือหนทางสู่เป้าหมาย


ทุกความสำเร็จมีเส้นทางเดินของมัน บางครั้งมันอาจดูน่าเบื่อและไร้ความหวัง แต่เราก็เชื่ออย่างสุดใจว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราไม่หยุดเดิน ไม่หยุดพยายาม ซักวันมันต้องเป็นไปอย่างที่เราต้องการ...ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่เพียงเพราะมันฟังดูดีหรือดูสวยหรู แต่เพราะเราได้ลองทำมันด้วยตัวเองต่างหาก


ไม่เชื่อก็ลองดูสิ!
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » เสาร์ ส.ค. 28, 2010 11:12 am

ขอบคุณ ครับ !) !)
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » จันทร์ ก.ย. 06, 2010 8:53 pm

ก๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ #) #( #(
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » พุธ ก.ย. 15, 2010 8:22 pm

Kun Nhu เขียน:ก๊อก ๆ ๆ ๆ ๆ #) #( #(

#* #*
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ก.ย. 29, 2010 9:41 pm

27Aug2010 เหนื่อยจัง..?


บ่ายโมงครึ่ง ที่บ้านหน้าคอมฯตัวเดิม วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2010


ตาจะปิด ง่วงนอนมากมาย พึ่งเลิกงานเมื่อตอนเกือบบ่ายโมง กลับมาถึงบ้านรีบยัดผ้าเข้าเครื่องซักผ้าเป็นอย่างแรกเพราะบ่ายนี้พึ่งเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่มีแดด ต้องรีบตากผ้าก่อนเดี๋ยวแดดหมด ผ้าแห้งไม่ทัน ฝนตกมาทั้งอาทิตย์ ผ้าไม่มีที่ตากนอนกองรวมกันจนจะล้นตะกร้า ฝนตกแบบช่วงที่ผ่านมานี้ถือเป็นฝนตกแบบ "น่าเกลียด"ของที่นี่ เพราะตกทั้งวันแบบไม่มีที่ท่าว่าจะหยุด ไม่ได้ตกหนักแต่ตกเรื่อยๆ มีทั้งแบบตกปรอยๆ เม็ดละเอียดมากชนิดว่าไม่ออกไปเดินกลางแจ้งก็ไม่รู้ว่าฝนตก จนถึงแบบลงหนาหน่อยมองไปนอกหน้าต่างเหมือนมีหมอกลง แต่ไม่ใช่หมอกมันคือฝน หรือกระทั่งตกจั่กๆเลยทีเดียว แต่จะว่าไปฝนตกช่วงหน้าร้อน (ช่วงนี้ฤดูร้อนของที่นี่ค่ะ นิยามของฤดูนี้ของที่นี่คือ ฝนตกเป็นหลัก ตกหนักตอนวันหยุด แล้วไปหยุดเอาวันทำงาน (ฮา) เรียกว่าไม่ต้องออกไปเที่ยวไหนเมื่อมีโอกาส) ไม่ค่อยแย่ซะทีเดียว เพราะแค่เปียกกับลม (เอ่อ..อันนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่) แต่ถ้าลองเป็นช่วงหน้าหนาวหรือฤดูใบไม้ร่วง อันนี้แย่มากๆๆค่ะ เพราะมันทั้งฝนและลมและความหนาวเรียกว่า แทบไม่อยากออกจากบ้านกันเลยทีเดียว แล้วเราปั่นจักรยานไปทำงาน เรียกเอาเปียกเป็นลูกหมาเลย แม้ว่าจะให้เสื้อกันฝนให้วุ่นไปหมด แว่นพล่ามัว แถมต้องปั่นขึ้นเนินลงเนินสู้ลมแรง พอพื้นถนนเปียกก็เบรคไม่ค่อยจะอยู่ เล่นเอาเสียวไส้ทุกครั้งเวลาออกไปทำงานตอนฝนตก เมื่อเช้าปั่นไปจนถึงที่ทำงานต้องพักให้ "หูอุ่น" ก่อน เพราะปั่นฝ่าลมและฝนมาหูชาไปหมดแม้ว่าจะมีหมวกคลุมก็เหอะ ตลกดี..แต่ขำไม่ออก วันก่อนเจอแจ๊คพ็อต ยางแตกกลางทาง ..ไม่สิ แย่กว่านั้นเพราะยังไม่ถึงครึ่งทางจากบ้านไปทำงานเลย ฝนก็ตกไม่หยุด จักรยานก็ยางแบน เอาวะ..ยังไงก็ต้องลากกันไปให้ถึงที่ทำงาน เราถูลู่ถูกังปั่นมันไปทั้งแบนๆอย่างนั้นแหละ ไม่งั้นถ้าเดินจูงจักรยานนอกจากจะไปไม่ทันทำงานแน่ๆแล้ว ตัวเองก็เปียก (หนักกว่าเดิม) แถมเสื้อผ้าในกระเป๋าที่เตรียมไปเปลี่ยนที่ทำงานก็จะเปียกหมด (แสดงให้เห็นถึงปริมาณน้ำฝนและระยะทางว่ามากพอจะทำให้เป้แบบกันน้ำชุ่มน้ำกันได้เลยทีเดียว)..ในที่สุดเราก็ถึงที่ทำงานทันเวลา แบบไม่เปียกเท่าไหร่..แล้วเย็นนั้นก็ต้องให้สามีมารับกลับบ้านตามระเบียบ


ช่วงที่ผ่านมายุ่งมากมายชนิดไม่มีเวลาพักผ่อนอย่างที่ควรจะเป็น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน ลิสต์ของเทรฟก็ยาวขึ้นเรื่อยๆ เราสองคนไล่ตะครุบกันแทบไม่ทัน กว่าจะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง วันเวลาในแต่ละอาทิตย์ก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย


อาทิตย์ก่อนเป็นวันเกิดเทรฟ เทรฟอยากไปฉลองวันเกิดกับเพื่อน-เควินกับแอน สองสามีภรรยาเพื่อนซี้ที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ เรียกว่าคบกันมาจนอายุครึ่งศตวรรษปีนี้ล่ะ เควินมักจัดงานฉลองวันเกิดเทรฟกับลูกชายเขาพร้อมๆกันเพราะสองคนเกิดวันเดียวกัน ปีนี้พิเศษบ้านเควินฉลองควบหลายงานทั้งวันเกิดลูกชายและเพื่อนซี้, ครบรอบวันแต่งงาน 25 ปี, ลูกสาวคนโตสอบใบขับขี่ผ่าน (ที่นี่สอบยากมากค่ะ เพราะงั้นถือว่าเป็นเหตุอันสมควรให้มีการฉลอง), ลูกสาวคนกลางเข้ามหาวิทยาลัย และอะไรอีกอันไม่รู้จำไม่ได้แล้ว งานเลี้ยงปีนี้เก๋ไก๋ (เดาเอาเองว่าต่างจากปีที่ผ่านๆมา เพราะแอนพูดทำนองนั้น) ไม่ได้เป็นการจัดเลี้ยงที่บ้านหรือผับอย่างปกติ แต่เป็นการจัดปิกนิคกลางแจ้ง (เอ่อ...ปิกนิคที่ไหนก็กลางแจ้งมะใช่เหรอ??) กลางสนามหญ้าริมทางเดินริมแม่น้ำ..ต้องบอกว่าสถานที่จัดงานเข้าท่ามาก เดี๋ยวจะลงรายละเอียดทีหลัง


งานนี้แอนกับเควินชวนเพื่อนพ้องและน้องพี่ (หนักไปทางพ่อกับแม่เสียมากกว่า) และบรรดาลูกค้าคนสำคัญของเควินมาร่วมงาน ต้องบอกว่าเป็นบรรยากาศที่น่าประทับใจมาก คอนเซ็ปต์ของงานก็คือ นัดเจอกันที่ลานกลางแจ้ง ต่างคนต่างเตรียมของกินกันมาเอง แล้วก็มาเฮฮาร่วมกัน..เข้าท่ามะ คนจัดงานไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเตรียมอาหารมากน้อยแค่ไหน ใครกินอะไรได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะแต่ละคน แต่ละบ้านก็แพค "ปิกนิค" มากันเอง รวมทั้งโต๊ะ เก้าอี้ ที่นั่งหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เพื่อความสบายส่วนตัว ส่วนที่จอดรถยิ่งไม่ต้องกังวล เพราะที่จัดงานเป็นลานสนามหญ้าโล่ง ก็ขับมันเข้าไปจอดตรงที่จะนั่งกินปิกนิคกันนั่นแหละ ส่วนค่าที่จอดรถก็จ่ายกันเองนะคะ (อ่อ..แพงมากค่ะขอบอกตกชั่วโมงละประมาณห้าสิบบาท แต่ถ้าเหมาจ่ายแบบจอดทั้งวัน-กำหนดไว้ไม่เกินสองทุ่มก็ห้าปอนด์หรือราวสองร้อยห้าสิบบาท) และอย่าคิดจะเบี้ยวเพราะมีคนเดินตรวจดูนะจ๊ะ


อ่ะ วกกลับมาเล่าเรื่องสถานที่ต่อ เป็นที่ประทับใจของสาวิตรีมากค่ะ จริงๆ บริเวณนี้เคยมาเดินเล่นหนนึงแล้ว แต่ตอนนั้นฝนตกลมแรง แดดไม่มี แค่เดินดุ่ยๆฝ่าฝนกะคอยโยนบอลให้หมาน้อย (ที่ตัวใหญ่)ของเควินกะแอนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะชมวิวแล้น (อ่อ มองไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะฝนตกพร้อมหมอกลงอีกต่างหาก) วันนี้ฝนไม่มี ลมไม่แรง แดดอ่อนๆ เลยได้มีโอกาสชมวิวทิวทัศน์ให้ฉ่ำใจ บริเวณที่ว่านี้เป็นปากแม่น้ำ (ชื่ออะไรไม่รู้) เขาทำเป็นทางเดินริมแม่น้ำพร้อมกับมีม้านั่งยาวเป็นระยะๆ ทางเดินแบบนี้มีให้เห็นเป็นปกติตามเมืองที่ติดทะเลหรือแม่น้ำแบบนี้ เพราะถือเป็นที่ออกกำลังกายหรือหย่อนใจชั้นดีสำหรับคนในพื้นที่นั้น แต่ที่นี่นอกจากทางเดินที่กว้างขวางและพื้นผิวเรียบยาวแล้ว (เรียกว่าเหมาะทั้งเดิน ปั่นจักรยาน หรือรถเข็นของผู้สูงวัย) เขายังทำพื้นที่บางส่วนให้เป็นสวนน้ำสำหรับเด็กๆ สวนน้ำที่ว่าไม่ใช่สระว่ายน้ำ (เคยเป็นสระว่ายน้ำมาก่อนแต่ท่าทางคงมีปัญหาเรื่องความปลอดภัย ประมาณว่าขาดกำลังคนในการเป็น safe guard หรือผู้คุมสระ ก็เลยยกเลิกไป..เราเข้าใจว่าอย่างนั้น) เป็นเหมือนเครื่องเล่นกลางน้ำ เช่นเป็นสไลเดอร์ เป็นน้ำพุ ชิงช้ากลางน้ำ ทำนองนั้น ข้อดีคือเด็กเล็กๆ ก็เล่นน้ำกันหนุกหนานแบบไม่กลัวจม ส่วนพ่อแม่ก็เดินตามดูเหมือนเวลาลูกเล่นตามปกติ ระวังหน่อยก็ตรงอย่าให้หกล้มหัวทิ่มเป็นพอเพราะพื้นมันเปียก (อ่อ เขาก็มีมาตรการความปลอดภัยระดับนึงด้วยการทำให้พื้นมันไม่เป็นแบบเรียบลื่น แต่ให้มันมีพื้นผิวหยาบๆ แบบกันลื่น หมดจากสวนน้ำ ส่วนถัดไปเป็นเรือไม้ขนาดใหญ่ที่ต่อไว้ให้เด็กๆปีนป่ายเล่น ตั้งอยู่กลางลานทราย..ก็นะ เด็กกับทรายเป็นของคู่กัน ถัดไปอีกหน่อย มีหอไว้ให้โรยตัวเล่นเหมือนเวลาฝึกลูกเสือ คือมีเสาสองต้นแล้วมีเชือกผูกโยงไว้ มีที่ห้อยตัวให้โรยตัวลงมาจากเสาสูง ดูแล้วน่าเข้าไปเล่นที่สุด แต่แหะแหะ ความสูงเขาก็ทำให้ไว้แค่เด็กๆอ่ะนะ


ถัดจากส่วนสนามเด็กเล่นก็เป็นสนามหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลที่แบ่งเป็นส่วนๆ จริงๆมันก็คือที่จอดรถดีๆนี่เอง แต่เขาทำเป็นสนามหญ้าแล้วมีลานจอดรถที่เป็นกรวดอยู่รอบๆ เรียกว่าถ้าขี้เกียจเดินไกลก็จอดตรงลานกรวด ถ้าจะไปนั่งเล่นกลางสนามหญ้าก็ขับรถเข้าไปเลยก็ไม่มีใครเขาว่าอะไร ก็อย่างที่บอก ขอให้จ่ายค่าที่จอดเป็นพอ..อ่อ ลืมบอกไปว่าวิธีจ่ายค่าที่จอดรถก็คือไปหยอดตังค์ในเครื่องคิดเงิน เลือกเอาว่าจะจอดกี่ชั่วโมงก็จ่ายตามนั้น เครื่องจะปริ๊นท์ใบเสร็จที่เป็นสติ๊กเกอร์หรือไม่ก็กระดาษขาวๆ ธรรมดาให้ เราก็เอาใบเสร็จที่ว่าไปวางไว้ตรงคอนโซลรถให้คนตรวจมองเห็น อย่ามาทำลักไก่ทำเป็นแอบซ่อน เพราะถ้าเขามองไม่เห็น หาไม่เจอ ก็จ่ายค่าปรับกันอานเลยทีเดียว


ส่วนสนามที่เป็นที่จอดรถนี้เราว่าเป็นไอเดียที่เข้าท่ามากๆ เพราะนอกจากจะขับรถเข้าไปได้แล้ว เขาก็เอาเต็นท์ไปตั้งกันแดด กันลม เก้าอี้พับมากาง บางบ้านก็ตั้งเตาบาร์บีคิวกันเลยทีเดียว พื้นที่ก็กว้างขวางไม่ต้องกังวลว่าจะรบกวนกัน ใครมีหมาก็เอาน้องหมามาวิ่งเล่นออกกำลัง โยนบอลโยนห่วงกันไป บางคนก็เอาเครื่องบินบังคับมาเล่น บางคนก็เล่นว่าว บางคนก็เล่นสารพัดเกมส์กางแจ้งที่จะมี ตีแบดฯ เตะบอล ฯลฯ เรียกว่าสนุกสนานกันทุกรูปแบบ แล้วก็ไม่ได้มีทีท่าว่าใครจะรบกวนใคร


เราเดินอิ่มเอิบกับบรรยากาศรอบๆตัวแล้วก็นึกสงสัยว่า..บ้านเรา (เมืองไทย)จะทำอย่างนี้ได้บ้างไหมหนอ..พอคิดถามตัวเองจบก็ตอบได้ทันทีว่า ถ้ามีพื้นที่แบบนี้ในเมืองไทย สิ่งแรกที่ผุดตามมาก็คือร้านขายไก่ย่างส้มตำ ลูกชิ้นทอด และของกินสารพัด ส่งกลิ่นและควันกันตลบอบอวล ถามว่ามีอะไรผิดไหมที่ขายของกิน คำตอบคือไม่ผิด แต่คนไทยไม่มีระเบียบ และไม่รักษาความสะอาด กินตรงไหนทิ้งตรงนั้น คนที่นี่เขาขนอะไรมาเขาก็ขนกลับไปทิ้งที่บ้านหรือไม่ก็ทิ้งในถังขยะ เรียกว่าตอนมามีสภาพอย่างไร กลับออกไปก็ทิ้งไว้แบบเดิม คิดเผื่อถึงคนข้างหลังว่าเขาจะได้ใช้พื้นที่อย่างสะอาดและสบายใจ ถามว่าคนที่นี่เขามีระเบียบกันอย่างนี้ทุกคนไหม ก็ต้องตอบตามความจริงว่า ไม่หรอก แต่ส่วนใหญ่มีสำนึกต่อส่วนรวมหรือมีความรับผิดชอบดี หรืออาจจะเป็นเพราะเขาต้องจ่ายเงินให้มีคนมาดูแลพื้นที่นี้ด้วยก็เป็นได้ แต่ยังไงเราก็ยังเชื่อว่า ต้องเป็นคนใช้พื้นที่นั่นแหละที่ต้องช่วยกันดูแล เห็นใครทำไม่ดีก็ต้องช่วยกันรายงานคนรักษากฎหมาย คนรักษากฎหมายก็ต้องทำงานกันอย่างตรงไปตรงมา เพราะหน้าที่สร้างความปลอดภัยเป็นหน้าที่ของคุณ ถ้าทุกคนในระบบช่วยกันทุกอย่างก็จะเดินไปได้ แต่ที่ผ่านๆมา..รู้สึกมันจะคอรัปชั่นกันไปทั้งระบบ..เฮ้อ (แอบบ่นอีกแล้วเรา)


วกเข้าเรื่องงานเลี้ยงดีกว่า บรรยากาศงานวันนั้นเราได้เจอพ่อกับแม่เควิน และที่เซอร์ไพรส์ก็คือเจอพ่อกับแม่เทรฟด้วย เพราะปกติสองคนนี้หลังจากที่ต่างคนต่างแต่งงานใหม่แล้ว การโคจรมาเจอกันดูจะเป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่าง(แอบ)หลีกเลี่ยง แต่วันนี้บรรยากาศอบอุ่นและสนุกสนานมาก แม่เทรฟคุยกับมานูล่า(แม่เลี้ยงเทรฟ) อย่างถูกคอและดูอารมณ์ดีกว่าปกติ แถมคุยกับเราเข้าขากันยังกะอะไรดี (ผิดวิสัยแม่สามีกะลูกสะใภ้..ว่ามะ?) ส่วนเรากับมานูล่ากับซีริล-พ่อเทรฟเข้ากันได้ดีอยู่แล้ว ก็เลยเมาท์กระจาย ..ไปๆมาๆ งานวันเกิดก็กลายเป็นงานรวมญาติดีๆ นี่เอง


เมาท์ยาวแล้ว เห็นทีจะได้เวลาไปจัดการกับภารกิจอันมากมายที่รออยู่ต่อแล้ว..ไว้จะกลับมาเมาท์ใหม่น้าา
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ก.ย. 29, 2010 9:42 pm

31Aug2010 Happy Birthday to me..?


บ่ายสองโมงครึ่ง วันอังคารที่ 31 สิงหาคม 2010 @ home


สุขสันต์วันเกิดนะคะแม่..อ้อ แล้วก็สุขสันต์วันเกิดให้ตัวเองด้วย ให้คิดดี ทำดี มุ่งมั่นพยายามอย่างไม่ย่อท้อ และต้องไม่ลืมรักษาสุขภาพทั้งกายและใจด้วย..


เมือวานได้หยุดสองวันติด เลยได้โอกาสสะสางงานที่บ้านกันวุ่น ทั้งเราและเทรฟกางตารางงานแล้วก็เริ่มลุยกันตั้งแต่เช้า เป้าหมายหลักที่ทำที่จอดรถเพิ่มที่หนึ่งคัน เพราะที่มีอยู่คือจอดในโรงรถ แขกไปใครมาก็ต้องไปแย่งๆ กันตรงทางเท้าหน้าบ้าน ซึ่งก็มีปัญหากับเพื่อนบ้านอยู่เรื่อย เราสองคนเลยตัดปัญหาด้วยการวางแผนทุบกำแพงหลังบ้านให้เปิดออกเป็นลานโล่งสำหรับจอดรถได้อีกคัน ประตูรั้วหลังบ้านที่เป็นบานไม้เล็กๆ ก็กระเถิบกินพื้นที่สนามหญ้าเข้ามาหน่อย สรุปขั้นตอนหลักๆในการทำก็คือหนึ่งทำรั้วหลังบ้านใหม่ด้วยการย้ายกำแพงไม้เล็กๆ ที่เคยเป็นที่ปีนป่ายของไม้เลื้อยหลังบ้านให้ขยับเข้ามาในบริเวณสวนหลังบ้านแล้วก็ย้ายประตูไม้ที่อยู่เดิมเข้ามาเชื่อมกับกำแพงไม้ที่ว่านี้ให้กลายเป็นรั้วหลังบ้านอันใหม่ อ้อ จริงๆ งานแรกเริ่มเลยต้องเริ่มจากตัดต้นไม้ที่ขึ้นคลุมรั้วไม้นี้ออกก่อน แต่เราทำไปล่วงหน้าเมื่อสองสามวันก่อนแล้ว ขั้นตอนถัดมาคือทุบกำแพง อันนี้งานช้าง และขั้นสุดท้าย เอาอิฐที่เคยเป็นกำแพงเก่ามาปูพื้นที่จอดรถเป็นการชั่วคราว


เราสองคนกับเทรฟจัดการย้ายรั้วกันเป็นที่เรียบร้อย จริงๆต้องบอกว่าเทรฟเป็นคนทำเสียส่วนใหญ่ถึงจะถูก เห็นเทรฟทำแล้วทึ่งเลย ทำไมสามีดิฉันถึงได้สารพัดประโยชน์ถึงเพียงนี้ เพราะไอ้กำแพงไม้ที่ดูง่อนแง่นและไม่น่ายากอะไรเนี่ยก็ดูมีรายละเอียดเอาการอยู่เหมือนกัน เพราะเทรฟต้องทำเสาขึ้นมาใหม่เพื่อเป็นที่ยึดของกำแพงไม้และประตูไม้ พ่อคุณก็จัดการรีไซเคิลไม้ทุกชิ้นที่มีก่อนที่จะไปซื้อเพิ่มเพียงหนึ่งหรือสองท่อน วัดระดับ กะระยะ ตอกเสา เทปูนฐานราก แล้วก็เอากำแพงไม้เข้าไปติดโดยใช้บานพับที่ติดมากับรั้วเดิมเข้าช่วย (เทรฟบอกว่าดูเหมือนว่ากำแพงไม้ที่ว่ากับประตูไม้จริงๆ มันก็คือประตูรั้วสองบานนั่นเอง แต่เจ้าของเดิมเปลี่ยนใจไม่ใช้มันเป็นประตูทั้งสองบานแต่ใช้แค่บานเดียว อีกบานนึงก็ตั้งไว้ทำรั้วให้ต้นไม้ป่ายปีนซะงั้น) พอตั้งกำแพงสำเร็จ ด่านถัดมาก็คือประตูรั้ว เสร็จจากงานไม้ก็หมดแรง หมดเวลา หมดวันพอดี เช้าเมื่อวานเราอยากเริ่มงานแต่เช้า แต่เทรฟว่ามันเป็นวันหยุดขืนมาตอกๆ เจาะๆ แต่เช้า ข้างบ้านจะได้ลุกขึ้นมาอวยพรได้ เราก็เลยโอ้เอ้รอเวลาจนสายหน่อย


แต่กลายเป็นว่างานทุบกำแพงไม่ง่ายอย่างที่คิด จากเดิมที่คิดว่ากำแพงจะเป็นอิฐมวลเบากลายเป็นว่าคุณเจ้าของบ้านเดิมทำกำแพงนี้แน่นหนาเสียอย่างดี เพราะอิฐแต่ละก้อนคือก้อนซีเมนต์ดีๆนี่เอง ลำพังเทรฟมีแค่สิ่วกะค้อนจะมางัดกำแพงปูนเห็นท่าจะไม่ได้การ เทรฟเลยว่ายกเลิกแผนการ ต้องหาเครื่องมือใหม่ แถมเมื่อวานเป็นวันหยุดธนาคาร (ที่นี่ทั้งปีมีวันหยุดธนาคารที่เรียกว่า Bank holiday แค่สองวันเท่านั้น) ที่ไหนๆ ก็ปิดกันหมด จะออกไปเช่าเครื่องมือมาทำต่อก็ไม่ได้ เราสองคนเลยเปลี่ยนแผนมาทำอย่างอื่นในรายการ "สิ่งที่ต้องทำ" แทน


เทรฟแยกตัวไปต่อเตียงเดี่ยวที่ได้มาใหม่สำหรับใช้ในห้องนอนเล็ก (ห้องนอนที่สาม), เปลี่ยนบานพับที่ประตูห้องเก็บของในสวนหลังบ้าน ส่วนเราก็ผสมกาวเพื่อซ่อมวอลล์เปเปอร์ที่เริ่มร่อน จากนั้นก็ล้างเตาอบในห้องครัว ล้างห้องน้ำ เสร็จงานเราก็ลากเทรฟออกไปหัดขับรถ เพราะอีกสองเดือนก็ได้เวลาสอบใบขับขี่แล้ว (ตื่นเต้นๆๆๆ) กลับจากขับรถเราก็ยังไม่ยอมปล่อยเทรฟไปพัก ขอให้เขามาช่วยดู CV ที่จะใช้สมัครงานอันใหม่ก่อน เพราะของเดิมที่ใช้มาดูท่าจะไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะจนป่านนี้ยังไม่ได้งานใหม่ ไม่มีแม้แต่เรียกไปสัมภาษณ์ เมื่อทำอย่างอะไรไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะลองเปลี่ยนวิธีเขียน CV ใหม่เผื่อว่าจะเป็นการปรับปรุงการประชาสัมพันธ์ตัวเองให้ดีขึ้น เบ็ดเสร็จทุกอย่างก็ปาเข้าไปบ่ายสามโมง เทรฟบอก พอ ไม่ทำอะไรแล้ว จะนั่งพักผ่อนให้สมกับเป็นวันหยุดบ้างล่ะ เรารีบเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เพราะทุกวันหยุดเราสองคนไม่เคยได้หยุดทำอะไรกันจริงๆ ซักที แม้แต่วันนี้ก็เหอะ..เฮ้อ..เพราะงี้ถึงได้มีอาการเหนื่อยเรื้อรังเป็นระยะๆ


ว่าแล้วก็ต้องไปทำอย่างอื่นต่อแล้ว ไว้จะมาโม้ให้ฟังใหม่น้าา ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ก.ย. 29, 2010 9:45 pm

1Sep2010 Happy Birthday to me..(one more time)


บ่ายสามโมงครึ่ง วันพุธที่ 1 กันยายน 2010 @ Green Park house


เมื่อวานหลังจากที่ส่งอีเมล์ฉบับที่แล้ว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น..ในวันเกิดของฉันปีนี้


...
อ้าว เทรฟส่งอีเมล์อะไรมาหว่า บอกพอเห็นแล้วเลยนึกถึงเรา..
..อ่อ ประกาศรับสมัครงานที่ UWE กับ Bristol Uni. อ้าว งานนี้มันเป็นแบบสัญญางานแค่สองปีนี่นา..ทำไมหนนี้เปลี่ยนใจให้หางานแบบระยะสั้นทำได้ล่ะหว่า? เราส่งอีเมล์กลับไปถามเทรฟ เทรฟให้คำตอบกลับมาว่า สองปีก็โอเคแหละ แล้วเราก็เปิดลิงค์ที่เทรฟส่งมาเพื่ออ่านรายละเอียดตำแหน่งงาน


งานที่ว่าเป็น Admin ของศูนย์ศูนย์นึงในคณะวิศวะฯของมหาวิทยาลัยบริสตอล เราอ่านรายละเอียดงานแล้วก็เห็นว่าทำได้ งานก็น่าสนใจดี อ่านต่อไปจนถึงวันปิดรับสมัคร "1กันยายน 9.00น." ..อ้าว เฮ้ย..แบบนี้จะปรินท์ใบสมัครมากรอกแล้วส่งไปรษณีย์ก็ไม่ทันแล้วดิ ทางเลือกเดียวที่ทำได้ก็คือ Apply Online กรอกใบสมัครงานบนหน้าเวบนั่นแหละ ในใจแอบคิดว่าเอ..เขาจะมีช่องให้แนบใบประวัติการทำงานไหมนะ พึ่งแก้แบบใหม่เสร็จ


เราอ่านและกรอกใบสมัครไปพลาง ใจก็ลุ้นว่าจะส่งไฟล์แนบได้ไหม เพราะรายละเอียดที่ต้องกรอกก็เยอะอยู่ แต่ด้วยความที่ไม่อยากเสี่ยง เพื่อว่ากรอกไปจนจบแล้วไม่มีที่ให้แนบไฟล์จะกลายเป็นว่ามีรายละเอียดไม่ครบ ว่าแล้วเราก็จัดการกรอกรายละเอียดทีละอันอย่างตั้งใจและลุ้นสุดตัว เพราะเคยเจอปัญหากรอกๆไปเวบเจ๊งซะงั้น กลายเป็นว่าไอ้ที่ทำมาทั้งหมดหายเกลี้ยง..งานนี้ก็เลยต้องทำไปลุ้นไป


สี่โมงกว่า..นั่งกรอกใบสมัครงานอันนี้มาร่วมสองชั่วโมงแล้ว เหลือคำถามสำคัญคำถามสุดท้ายก็คือ ให้ระบุหลักฐานที่แสดงว่าตัวเราเหมาะสมกับตำแหน่งงานนี้อย่างไร..เอ่อ..เอาไงดี งานนี้พลาดไม่ได้..หันซ้ายหันขวา กดโทรศัพท์หาเทรฟดีกว่า
"เทรฟ อยู่ไหนแล้วอ่ะ กำลังจะกลับบ้านยัง"
"กำลังเดินไปที่จอดรถเลยเนี่ย"
"อีกนานไหมอ่ะ กว่าจะถึงบ้านอ่ะ ต้องการความช่วยเหลือด่วน กำลังกรอกใบสมัครงานที่เทรฟส่งมาให้อยู่อ่ะค่ะ"
"โอเค อีกห้านาทีเจอกัน"


พอเทรฟโผล่หน้าพ้นประตูมา เราก็ละล่ำละลักบอกเทรฟว่า
"เทรฟ งานที่เทรฟแนะนำอ่ะ มันต้องสมัครออนไลน์ เพราะมันปิดรับสมัครวันพรุ่งนี้เก้าโมงเช้า"
"อ้าว พรุ่งนี้แล้วเหรอ ไม่ได้ดู"
"ใช่ ปัญหามันอยู่ที่ตอนนี้โปร่งกรอกใบสมัครอยู่แล้วมันเหลือคำถามสำคัญอันสุดท้ายอันเดียว โปร่งอยากให้เทรฟช่วยดูหน่อย แต่ต้องรีบเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เวบมันจะเดี้ยงอ่ะ"
เทรฟพยักหน้ารับรู้ความกังวลของเราทันที เพราะเจอปัญหานี้อยู่บ่อยครั้ง เทรฟถลาไปที่หน้าคอมฯ ทั้งๆที่ยังอยู่ในชุดทำงาน เราสองคนนั่งจ้องคอมฯ อ่านรายละเอียดแล้วช่วยกันคิดว่าเราควรจะตอบคำถามที่ว่ายังไง เราเริ่มกันที่รายละเอียดของงานแต่ละข้อ แล้วเราก็สาธยายว่าเราเคยทำอะไรที่คล้ายคลึงกับลักษณะงานที่ว่านี้บ้าง ทั้งประสบการณ์ทำงาน ที่เรียนหรือแม้แต่กิจกรรมทั้งปวง ขนกันมาให้หมด


"ดีแล้วโปร่ง ที่ว่ามาน่ะ เขียนทั้งหมดที่ว่ามานี่ลงไปเลยนะ แต่เขียนใส่เวิร์ดก่อนนะ เดี๋ยวมาตรวจทานกันอีกทีก่อนส่ง" ว่าแล้วเทรฟก็ทิ้งเราไว้หน้าคอมฯ ส่วนตัวเองก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็รุดไปซ่อมจักรยานให้เรา เพราะเราโทรไปโวยวายไว้ก่อนหน้านี้ พอซ่อมจักรยานเสร็จเทรฟก็ตามมาดูผลงานว่าเราเขียนไปถึงไหน


เทรฟเช็คสำนวนกับรูปประโยคอีกทีก่อนที่จะบอกให้เรา copy ทุกอย่างลงไปในช่องที่เขาเว้นไว้ให้ตอบคำถาม (หลังจากที่เช็คแล้วว่ามีพื้นที่มากแค่ไหนให้เติม) ทำไปสองคนก็ลุ้นกันไปเพราะถ้าเวบเกิดเดี้ยงขึ้นมาก็เป็นอันว่าจบข่าว ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ และอย่างที่บอกแค่กรอกทุกอย่างที่อยู่ใน CV ยังกินเวลาไปแล้วตั้งสองชั่วโมง


เรากดปุ่ม "ส่ง" เพื่อเป็นการยืนยันการส่งใบสมัครงานครั้งนี้ พอหน้าจอแจ้งว่าทุกอย่างดำเนินไปเรียบร้อย เราถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอามือกุมหัว แล้วโอดโอยว่า..อย่าให้ต้องทำแบบนี้กันบ่อยๆนะเทรฟ เครียดตายเลย..เทรฟว่า ปิดคอมฯเลยโปร่ง วันนี้พอแล้ว


เรากดปุ่มปิดเครื่องคอมฯ พอหันหลังให้จอคอมพิวเตอร์ก็หันมาเจอคุณสามียกแก้วเครื่องดื่มสีสวยเข้ามาสองแก้ว
"Happy Birthday darling" เทรฟว่า
"อ่อ ใช่ วันนี้วันเกิดเรานี่นา..ลืมไปเลย"
"ผมซื้อพันซ์มาเพราะคุณไม่ดื่มทั้งไวน์และเบียร์ คืนนี้จะได้หลับสบายนะ" แล้วเราก็พึ่งสังเกตเห็นว่าเทรฟลำเลียงกล่องของขวัญมาวางไว้ที่โต๊ะกินข้าวเรียบร้อยแล้ว..อ่อ ได้เวลาแกะของขวัญ เราเริ่มต้นจากของขวัญจากแดนไกลพี่เจี๊ยบส่งมา บอกว่าเป็นของส่งมาเซอร์ไพรส์จากน้องแจมหลานสุดเลิฟ เราแกะกล่องออกมา พอเห็นของข้างในถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่ ผ้าพันคอผืนยาว..หลานตั้งใจถักเองกับมือ..เรารู้ว่าช่วงนี้แจมยุ่งกับการเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยขนาดไหน ถักผ้าพันคอผืนยาวขนาดพันได้สองรอบแบบนี้ต้องใช้เวลาไม่น้อย น้ำตาเราพรั่งพรูขอบคุณหลานสุดใจ ..น้ำตาที่ไหลไม่ใช่เพียงเพราะดีใจที่ได้ของขวัญ แต่มันเป็นเหมือนสิ่งเตือนใจถึงความผูกพันของความเป็นครอบครัว..ครอบครัวที่เราจากมา


..จำได้ถึงความรู้สึกและความทรงจำก่อนที่จะบินมาตั้งรกรากที่นี่เป็นการถาวรว่า..เราอยากกลับมาที่นี่ไม่น้อย บอกกับตัวเองว่า อึดอัดเหลือกำลังกับการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่อยากอยู่ อยู่ในที่ที่ดูเหมือนตัวเองจะทำอะไรไม่ได้อย่างเต็มความสามารถ เหมือนนกถูกขังรอวันบินกลับสู่น่านฟ้า..วันที่รู้ว่าได้ "รับอนุญาต" ให้กับถิ่นฐานที่อยากอยู่อีกครั้ง ดีใจเหมือนนกถูกปล่อยจากกรงขัง..ความรู้สึกติดลบทั้งปวงเกี่ยวกับเมืองไทยตราตรึงเหมือนหนามแหลมที่คอยทิ่มแทง..แต่มา ณ วันนี้ ณ วินาทีที่เห็นของที่อยู่ในมือ..ความรู้สึกใหม่ก่อเกิดขึ้นทันที.."คิดถึงบ้าน คิดถึงทุกคนในครอบครัวเรา" ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คือครอบครัวเรา เขาคือรากเหง้าของความเป็นเราในวันนี้ เราอาจจะรู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันวาน แต่ที่แน่ๆ ทุกคนในครอบครัวต่างทำทุกอย่างด้วยความปรารถนาดีกับเรามาโดยตลอด เขารักเราและอยากเห็นเราสมหวังและมีความสุขไม่น้อยไปกว่าที่เราอยากให้ตัวเองเป็น..เราเข้าใจผิดมาโดยตลอด..เราคิดไปเอง เรารู้สึกไปเองว่าเราแปลกแยก เราไม่ต้องการพวกเขา ..มา ณ วันนี้ ทุกๆคนที่บ้านสำคัญสำหรับเรา เพราะเขาทุกคนทำให้เราเป็นเราในวันนี้ ไม่ว่าจะชั่วจะดี จะทะเลาะเบาะแว้ง เข้าใจผิด น้อยใจกัน โกรธกัน เราก็พี่น้องกัน ไม่มีทางที่ใครจะรักเรามากไปกว่าพี่น้องและครอบครัวเราเอง..เราพึ่งเข้าใจ..เรารู้สึกผิด เสียใจ..และขอโทษทุกๆคน..น้ำตาเราพรั่งพรูไม่หยุด..


เราอธิบายความรู้สึกเราให้เทรฟฟังว่า ณ วันที่เราอยากกลับอังกฤษ ใจเราโกรธ เกลียดและกลัวการอยู่เมืองไทยเหลือกำลัง ใจหนึ่งเราก็อยากกำจัดความรู้สึกติดลบเหล่านี้ออกไป อีกใจหนึ่งเราก็ไม่อยากให้มันหายไป เพราะเรากลัว เรากลัวเหลือเกินว่า ถ้าวันนึงเรารู้สึกผูกพันกับเมืองไทย หรือ "รักบ้าน" มากเกินไป เราจะ "คิดถึงบ้าน" จนเราอยู่ที่นี่ไม่ได้..เทรฟกอดเราแน่น..แล้วพูดว่า ที่นี่ก็บ้านของโปร่งเหมือนกันนะ..ใช่เทรฟ ตอนนี้โปร่งมีบ้านสองที่แล้วนะ เรายิ้มทั้งน้ำตา..บอกกับตัวเองว่าเป็นครั้งแรกที่รู้สึกและพูดได้อย่างเต็มปากว่า เมืองไทยเป็นบ้าน..ไม่ใช่เพียงแค่ "บ้านพ่อกับแม่"


เราปาดน้ำตาแล้วก็เริ่มแกะของขวัญกล่องถัดไป เป็นของขวัญจากซีริลกับมานูล่า-พ่อกับแม่เลี้ยงเทรฟ แกะของขวัญของมานูล่ายังไม่ทันเสร็จดี โทรศัพท์ก็ดัง..มานูล่าโทรมาอวยพร ความรู้สึกเราเต็มตื้นบอกไม่ถูก..ช่วงไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เราเครียดแทบตายกับการสมัครงาน พอนาทีต่อมาก็ตื่นเต้นดีใจกับความรู้สึกใหม่ของคำว่า "ครอบครัว" และสายสัมพันธ์ที่ดูเหมือนพึ่งถูกสานต่อขึ้นใหม่ แล้วนาทีต่อมาการตอบรับจากคนในครอบครัวของเทรฟก็ทำให้เรารู้สึกว่า เรามีครอบครัวนึงที่เขาเองก็ยินดีและดีใจที่เราเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวเขา ซีริลกับมานูล่าจะขับรถมาหาอีกสองอาทิตย์ข้างหน้าเพื่อมาเยี่ยมบ้านใหม่ของเราพร้อมกับฉลองวันเกิดให้เราด้วย :)


ของขวัญกล่องถัดไป มาจากดาร์ลิ่งคนข้างกาย เย้!!! เทรฟซื้อกล้องถ่ายรูปให้ใหม่ ทีนี้เราก็จะได้มีกล้องไว้ถ่ายรูปมาประกอบไดอารี่เราซักที :D


และแล้ววันเกิดปีนี้ก็เต็มไปด้วยความปิติยินดี ปลาบปลื้มใจอย่างที่สุด..


สุขสันต์วันเกิดนะคะแม่ ลูกโปร่งสัญญาว่าต้องมีซักปีที่เราสองครอบครัวจะได้ฉลองวันเกิดร่วมกัน
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ก.ย. 29, 2010 9:50 pm

7Sep2010 ตื่นมาทำไมแต่เช้าเนี่ย?


เกือบแปดโมงแล้ว วันอังคารที่ 7 กันยายน 2010 @ home


วันนี้วันหยุด ตั้งใจไว้ซะดิบดีว่าจะนอนตื่นสายๆ เพราะเมื่อวานสองวันก่อนไม่สบาย เจ็บคอทำท่าเหมือนจะเป็นหวัดตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์ เราก็โด๊ปยาเป็นกำลัง เพราะวันจันทร์ต้องไปทำงาน จริงๆ ลาป่วยก็ได้อ่ะนะ แต่ช่วงนี้ที่ทำงานมีมาตรการ "การสัมภาษณ์ภายหลังการลาป่วย" คือว่าถ้าใครลาป่วยแล้ววันทำงานวันถัดไปต้องไปโดนสัมภาษณ์สาเหตุของการลาป่วยกับผู้จัดการที่ Temple Mead (สถานีรถไฟอีกที่นึง ที่บรรดาบอสใหญ่ทั้งหลายนั่งทำงานอยู่) เหตุของมาตรการอันแสนจะประหลาดนี้ก็เนื่องมาจากพนักงานพฤติกรรมแย่ๆ ทั้้งหลายนั่นแหละ ช่วงที่ผ่านมามีคนโทรมาลาป่วยชนิดกระชั้นชิด ประมาณว่าแทนที่จะโทรมาลาล่วงหน้าก็โทรมาตอนที่ถึงเวลางานแล้ว เขาหาใครทำงานไม่ทันแล้ว หรือบางคนก็โทรมาลาป่วยได้ทุกวันเสาร์อาทิตย์ (ที่ตัวเองต้องทำงาน) ทำเอาเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ต้องเดือดร้อนทำงานล่วงเวลาบ้าง ทำงานโดยไม่มีเวลาพักที่เหมาะสมบ้าง เรียกว่าก็โหลดงานกันไปเพราะหาใครมาช่วยไม่ทัน ด้วยเหตุนี้ฝ่ายบริหารก็เลยมีมาตรการประหลาดๆอย่างที่ว่า..ผลก็คือ คนที่ป่วยจริงๆ และปกติทำงานดีมาโดยตลอด บ่นอุบเพราะต้องเสียเงินค่ารถไฟเกือบห้าปอนด์เพื่อไปโดนไล่เบี้ย (บริษัทก็ไม่จ่ายให้อีกต่างหาก) ส่วนไอ้พวกนิสัยเสียมันก็ขาดงานกันชนิดว่า..หายไปเฉยๆ..แล้วก็ให้คนที่ทำงานเดากันเองว่า มันคงไม่กลับมาทำงานแล้วล่ะ เพราะหายไปสามกะติดกันรวด..เออนะ คนประเภทนี้ก็มีให้เห็น (ชักจะเยอะเสียด้วย)


เรื่องคนที่ทำงาน..ไม่อยากใช้คำว่าเพื่อน เพราะไม่เคยนับใครเป็นเพื่อนซักคน..พูดได้แบบนี้ไม่ใช่รังเกียจเดียดฉันท์ แต่ดูๆแล้วไม่ได้มีอุปนิสัยใดๆเข้ากันได้ก็เลย..คุยกันแต่ในที่ทำงานน่ะพอแล้ว นอกเวลางานก็ไม่ได้มีความสนใจอะไรร่วมกันซักกะอย่าง..


เล่าต่อ..เรื่องความประพฤติของคนที่ทำงาน พูดกันแบบบ่นไม่เกรงใจก็คือ น่าอิดหนาระอาใจจนเราเริ่มทำใจ (ได้) เราประกาศกับทุกคนว่า ไม่ต้องมาบอกเรานะว่าวันต่อไปเราต้องทำงานกับใคร เพราะไม่อยากรู้ ทำกับคนทำงานดี ตั้งใจทำก็ดีไป ทำกับคนไม่ตั้งใจทำงานเราก็มีแต่จะอารมณ์เสียล่วงหน้าไปเท่านั้นเอง เพราะเคยมีคนหวังดีโทรมาบอกเราล่วงหน้าว่าคนนั้นคนนี้จะไม่มาทำงานในวันรุ่งขึ้นขอให้เราเตรียมตัวรับสถานการณ์ให้ดี..ผลก็คือ เรานอนคิดทั้งคืนจนนอนไม่หลับ แถมที่แย่กว่านั้นก็คือ ไม่มีทางออกสำหรับปัญหาที่ตัวเองกำลังจะเจอ เพราะบริษัทไม่เคยมีมาตรการอะไรรองรับ..ปัญหาขาดคน โทรไปเท็มเพิ่ล มี๊ด (Temple Mead) เขาก็ไม่มีใครมาช่วยได้, คนนั้นทำนิสัยเสียแบบนั้นแบบนี้ ก็ไม่มีมาตรการลงโทษ ฯลฯ สรุปคนทำงานดีก็ทำงานกันหูตูบไป ไอ้พวกไม่สนใจอะไรก็ยังคงไม่สนใจอะไรอยู่ดี


เราเข้างานกับพวกเอาแต่นั่งเล่นมือถือ ส่งข้อความ เล่นเฟซบุ๊คทั้งวัน เห็นแล้วก็เซ็ง วันๆ เอาแต่จ้องมือถือ ไม่สนใจลูกค้า กว่าจะนวยนาดไปรับลูกค้าก็จะพาลพาลูกค้าพลาดเที่ยวรถไฟไป พอบอกให้ทำนั่นทำนี่ ถ้าพวกเขาอารมณ์ดีก็ให้ความร่วมมือดี ถ้าอารมณ์แปรปรวน ร้อน หงุดหงิด ฯลฯ ก็ไม่ทำเอาซะงั้น สุดท้ายก็ต้องเป็นเราที่จัดการจนมันเสร็จ เพราะเราจะปล่อยให้ร้านสกปรก ไม่เรียบร้อยก็ไม่ได้ เพราะสุดท้ายมันก็ตกมาที่เราอีก จะโดนข้อหาว่าไม่ดูแลให้ดี พูดง่ายๆว่าไม่ว่าคนที่ทำงานด้วยในกะนั้นจะเป็นยังไง ผลสรุปท้ายงานต้องออกมาดีก็แล้วกัน..เราก็เลยถือคติว่า เอ็งไม่ทำ ข้าทำของข้าเองก็ได้วะ..ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนดีหรืออะไรหรอกนะ เพราะถ้าสุดท้ายกรูก็โดนทั้งขึ้นทั้งล่อง ทำไมจะต้องไปเสียอารมณ์กับคนแบบนั้น ทำใจนิ่งๆแล้วก็ทำไป เดี๋ยวงานมันก็เสร็จเอง


อย่างนึงที่เราได้จากงานนี้มากๆก็คือ การฝึกความอดทน ปกติเราเป็นคนใจร้อน อยากให้งานมันออกมาดีและเสร็จเร็ว พอความคิดมันไปไว ทำงานฉึบฉับแต่คนที่ทำงานด้วยมันเอื่อยยิ่งกว่าน้ำไหล ถ้าเราเอามาตรฐานตัวเองไปวัดก็พาลจะหงุดหงิดและโกรธกันไป (คือทำตัวเองอารมณ์เสียเองเปล่าๆ ) เราบอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร เขาไม่ทำ เราก็ทำ สุดท้ายงานมันก็ต้องเสร็จ ทำมันไปทีละอย่าง ทำทีละอย่าง วิธีคิดแบบ "ทำทีละอย่าง" เป็นเรื่องใหม่สำหรับเรามากๆ เพราะปกติเรากระโดดไปกระโดดมาทำหลายๆอย่างพร้อมกันตลอด (ฮา) หนนี้บอกตัวเองว่า หยุดสติแตก ทำไอ้ที่ต้องทำตรงหน้าให้ดี ให้เสร็จก่อน แล้วค่อย "คิด" ค่อย "ทำ" อย่างต่อไป..ได้ผลแฮะ เพราะมันจะนิ่งมากขึ้น ไม่เครียด ไม่ร้อนรน หัวใจไม่เต้นแรง ไม่หายใจหอบเพราะเริ่มเครียด เราบอกตัวเองว่า..แย่สุดก็กลับบ้านช้าล่ะวะ..แต่ที่ผ่านมาเรายังไม่เคยกลับบ้านช้าเลย ..อิอิ..แบบนี้ต้องบอกว่าวิธีการนี้ได้ผล


เรื่องผู้ร่วมงานไม่เอาไหนเนี่ย มันจะมีผลกระทบมากก็เวลาที่ทำงานกะบ่ายคือตั้งแต่เที่ยงครึ่งจนปิดร้าน เพราะงานส่วนใหญ่จะเป็นงานเก็บกวาด ทำความสะอาด จริงๆ งานมันก็ไม่ได้หนักหนาอะไรหรอก เพียงแต่ถ้าต้องวิ่งไปวิ่งมาระหว่างหน้าร้านกับหลังร้านมันก็เหนื่อยแล้วก็ดูว่างานมันจะไปไม่ถึงไหน ฉะนั้นการมีพนักงานอีกคนทำงานด้วยกัน ส่วนใหญ่ถ้ามันแย่ๆสุด ชนิดไม่ช่วยเราเก็บร้านเลย เราก็จะบอกให้มันรับลูกค้าอย่างเดียว (แล้วมันจะนั่งเล่นมือถือระหว่างรอลูกค้า เราก็จะทำเป็นมองไม่เห็น) ส่วนเราก็เก็บกวาด ล้าง ถู ทุกอย่างด้วยตัวเราเอง เพราะเราทำได้ไม่หนักหนา อย่าให้หนักใจต้องรบกับคนไม่เอาไหนเลย..ไม่ไหว..ขี้เกียจเหนื่อยใจ.. แต่พอต่อมากิจการเริ่มถดถอยเนื่องด้วยเป็นช่วงปิดเทอม พ่อแม่ก็ต้องลาหยุดพาลูกไปเที่ยวกันซะส่วนใหญ่ จำนวนคนทำงานที่เดินทางกันเป็นปกติก็ลดลงจนสังเกตได้ เมื่อยอดขายตก เขาก็ตัดชั่วโมงทำงาน จากเดิมคนที่ทำงานกับเราช่วงบ่ายจะเลิกงานพร้อมกันตอนสามทุ่ม เขาก็มาปรับให้เลิกตอนทุ่มนึง..เราก็..อ้าวเฮ้ย.. (แบบไม่ตกใจเท่าไหร่..เพราะปกติตรูก็ทำของตรูเองคนเดียวอยู่แล้ว) มาตรการนี้อย่างที่บอกถ้าเราทำงานกับคนที่เขาทำงานดี เขาจะช่วยเราทำสิ่งทุกอย่างที่ทำได้ จนมั่นใจว่าเหลือเฉพาะงานที่ต้องทำหลังปิดร้านแล้วเท่านั้นทิ้งไว้ให้เรา แถมก่อนกลับก็จะถามว่า..ยูโอเคนะ??..ซึ่งแน่นอนว่า..เราโอเคอยู่แล้ว ส่วนถ้าเจอคนทำงานไม่ดี มันก็เอาแต่จ้องนาฬิกาจะกลับบ้านนั่นแหละ เราก็..อืม อยากกลับก็รีบกลับไปเลย ฉันจะได้ทำงานอย่างสุขสงบใจ ไม่ต้องมีคนมาทำอะไรให้รำคาญอารมณ์ เพราะยังไงเราก็ต้องทำของเราเองอยู่แล้ว..ก็เพราะงี้แหละ เราถึงไม่ค่อยอยากรู้ว่าใครจะทำงานกับเราในกะถัดไป เพราะถ้าเจอคนดี เราก็สบายหน่อย เจอคนไม่ดีเราก็ทำของเราเหมือนเดิม


ช่วงที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับร้านก็ไม่รู้ พนักงาน(หน้าเดิม)พากันลาป่วยต่อเนื่องชนิดสองสามวันติดกัน แล้วสุดท้ายก็มีผลให้เข้าใจว่า ไม่กลับมาทำงานแล้ว ตอนแรกเจอแค่คนเดียวเราก็หงุดหงิดกันไป พอเจอคนต่อมา และคนต่อมา หลังๆ เลยเป็นเหมือนลางบอกเหตุ ถ้าลองมีใครเริ่มไม่มาทำงานซักกะหรือสองกะติดกัน เราจะเริ่มเดากันว่า "มันตั้งใจจะไม่กลับมาแล้วเป็นการถาวรแหงๆ" เพราะงั้นตารางใดๆที่เป็นผู้นั้นสมควรหาคนมาทำงานแทนเป็นการด่วน .. แต่มีมันแย่กว่าเดิมเข้าไปอีกก็คือ จากเดิมที่แม้มีพนักงานแย่ๆ ทำงานร่วมอยู่ด้วย เราก็มีคนทำงานไม่พออยู่แล้ว (เพราะงี้ถึงไล่พวกแย่ๆ ออกไม่ได้ไง อีกอย่างก็ไม่รู้จะไล่ออกข้อหาอะไรด้วย เพราะบริษัทไม่ได้มีมาตรการการลงโทษอะไรรองรับให้มันชัดเจน) นี่พอพนักงานพากัน "หายไป" พร้อมๆกันหลายคนในเวลาไล่เลี่ยกัน ตอนนี้แมรี่แอนด์-แอดมิน (Admin)ที่ทำหน้าที่ทุกอย่าง ก็วิ่งหาคนทำงานแทนหูตูบเลย เพราะงี้เมื่อวานพอเราบอกว่าแมรี่แอนด์ว่า จริงๆ เราไม่สบายมากๆเลยนะแต่ไม่อยากลาป่วยเพราะหนึ่งเราไม่อยากเสียเงินค่ารถไฟไปโดน "สัมภาษณ์หลังจากลาป่วย" กับสอง แมรี่แอนด์จะได้ไม่ต้องวิ่งหาคนมาทำงานแทนเรา เพราะยังไงวันพรุ่งนี้ก็วันหยุดเราอยู่แล้ว..แมรี่แอนด์ยิ้มขอบคุณเราน่าดู..เมื่อวานเราเลยทำงานด้วยโหมดสโลว์โมชั่นสุดๆ เพราะเวียนหัว พาลจะหน้ามืดเป็นลมไปหลายหน แถมเวลาพักก็ไม่ได้พักอย่างปกติ ต้องทำงานไปกินไปอีกต่างหาก..เฮ้อ.. เลยหมายใจว่าวันนี้จะนอนตื่นสายๆ พักฟื้นให้คุ้ม..


ว่าแล้วตื่นมาทำไมตั้งแต่เจ็ดโมงเนี่ย???
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ก.ย. 29, 2010 9:56 pm

9Sep2010 เย้ วันนี้หยุดล่ะ?


บ่ายสามโมงกว่า..วันพฤหัสฯ ที่ 9 กันยายน 2010 ที่บ้านเช่นเดิม


เย้ วันนี้วันหยุด วันหยุดทีไรเป็นตื่นเช้าทุ๊ก..ที แต่วันนี้มีแผนที่อยากทำหลายเรื่องก็เลยเอานะ..ตื่นเช้าเสียหน่อย


โปรแกรมแรกของวันวันนี้คือไปซื้อเมล็ดพันธุ์พืชมาเพาะปลูกตามอัธยาศัย เหตุก็ด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ ซื้อบรรดาพืชผักสมุนไพรที่ใช้ปรุงอาหารจากร้านที่เป็นแพคๆมา มันเก็บไว้ได้ไม่กี่วันก็เน่าหมด (อารมณ์เดียวกับใบกระเพรา "ตายนึ่ง" ในตู้เย็น-ตายนึ่ง แปลเป็นภาษาไทยว่า อาการช้ำของผักเพราะความเย็นจัดของตู้เย็น) เลยหาทางออกด้วยการปลูกกินเองซะเลย บรรดาสารพัดผักที่ซื้อมาปลูก ได้แก่ ใบกระเพรา (สารพัดสายพันธุ์ที่มีขายในตลาด), พริก, ผักชี, ขึ้นฉ่าย, กุยช่าย, มาจอแรม (majoram ต่อไปนี้ถ้าไม่รู้ว่าภาษาไทยเรียกอะไรจะใส่แต่คำภาษาอังกฤษล่ะนะ) Origano (ออริกาโน่), sage (เซจ), thyme (ไทม์), ผักชีลาว (Dill) จริงๆ อยากได้โรสแมรี่อีกอย่าง แต่เผอิญมันขาดสต็อค ก็เลย..เอาไว้ก่อนแล้วกัน อ้อ ได้กระถางพลาสติกมาเพาะใส่ด้วย..เหตุที่ต้องซื้อกระถางมาด้วยเพราะแค้นใจ ครั้งก่อนปลูกลงดินทั้งหน้าบ้านหลังบ้าน ทากเจ้ากรรมกินจนเหลือแต่ตอ ชนิดมองไปจำไม่ได้เลยว่ามันเคยเป็นต้นอะไรมาก่อน..เฮ้อ.. เพราะงั้นหนนี้จะปลูกใส่กระถางเก็บไว้ในบ้านล่ะ


จริงๆ ไปซื้อเมล็ดพืชหนนี้คนขายมองหน้าแปลกๆ เพราะช่วงเดือนกันยายนนี้มันเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้วไม่ใช่ฤดูกาลเพาะเมล็ด..อย่างที่เรากำลังทำอยู่..เราก็ทำหน้าแบ่บ..เอิ่ม..แบ่บ..จะปลูกใส่กระถางไว้กินทั้งปีอ่ะค่ะ แหะ แหะ แหม่..อยู่ที่นี่นะคะทำอะไรต้องเป็นไปตามจังหวะเวลาตลอด เดือนไหนต้องทำอะไร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์เวลานั้นเวลานี้ เพื่อไม่ให้สายเกินไป เพราะสภาพอากาศมันมีผลโดยตรง


ปลูกพืชสารพัดชนิดเสร็จ ก็หมดแรง..รีบไปหาข้าวกิน ตกบ่ายก็ได้เวลาทำงานต่อ..หนนี้อาสาสามีว่าจะล้างรถให้..แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ล้าง ได้แต่ดูดฝุ่นภายใน ทำเสร็จ..อ้าว หิวอีกแล้ว แหะ แหะ ว่าแล้วก็เลิกทำ ไปหาของกินดีกว่า อิอิ


สรุปวันนี้ที่ว่ามีโปรแกรมมากมาย สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไรเยอะ เพราะเอาแต่กิน..แป่ว!!!
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ก.ย. 29, 2010 9:58 pm

15Sep2010 ..เหนื่อยจนสลบ..


ทุ่มกว่าแล้ว วันพุธที่ 15 กันยายน 2010 ที่บ้าน หน้าคอมฯ ตัวเดิม


โอ่ยย...


พึ่งอิ่มข้าวเย็น วันนี้ลองทำเมนูใหม่ตามสูตรในนิตยสาร ผลออกมาหน้าตาดูดีไม่น้อย อิอิ เสียดายลืมถ่ายรูปไว้ให้ดู เพราะท่าทางรูปในนิตยสารจะดูน่ากินกว่าเยอะ อิอิ เมนูที่ว่าหน้าตาคล้ายๆ แพนเค้กข้าวโพด กับปีกไก่อบมามาเลด (แยมมะนาว) อาหารชาติอะไรไม่รู้ แต่อย่างน้อยก็ได้ลองทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่อาหารเอเชีย ฮี่ฮี่


วันนี้กว่าจะปั่นจักรยานถึงบ้าน..เล่นเอาแย่เหมือนกัน เพราะเหนื่อยเหลือใจ เมื่อคืนเลิกงานเกือบสี่ทุ่ม แล้วเช้าก็ตื่นตีสี่ไปเข้างานอีก จริงๆมันไม่ควรจะเป็นแบบนี้แต่มันมีที่มาดังนี้..


เมื่อวานเราเข้างานกะบ่าย (เข้าบ่ายโมงเลิกสามทุ่ม) งานหลักๆก็เก็บร้านตามปกติ คนทำงานร่วมกะกับเราจะเลิกทุ่มนึง นอกจากจะเสริฟลูกค้าแล้วเราก็ช่วยกันเก็บร้าน พอถึงเวลาทุ่มนึงงานส่วนใหญ่ก็มักจะทำไปจนเกือบเสร็จแล้ว เหลือส่วนที่ต้องรอทำหลังปิดร้านแล้วจริงๆถึงจะทำได้ แต่วันนี้ไม่เหมือนทุกที..นี่ก็หกโมงกว่าแล้ว เราพึ่งได้พักเบรค งานที่ทุกทีเคยทำเสร็จไปแล้วยังไม่ได้เริ่ม ไม่ว่าจะเป็นกองกล่องใส่เครื่องปรุงที่สุมกันอยู่ในอ่างล้างจานจนล้น ถาดอบขนมที่ยังไม่ได้ล้าง ตู้เย็นสำหรับเก็บเครื่องปรุงบ่ะเก็ตก็ยังไม่ได้ทำความสะอาด เครื่องชงกาแฟยิ่งไม่ต้องพูดถึงยังไม่ได้เริ่มทำความสะอาด แถมมีเศษผงกาแฟเลอะเต็มไปหมดทั้งที่เครื่องและบริเวณรอบๆ ที่นั่งลูกค้าด้านนอกก็ยังไม่ได้เริ่มทำความสะอาด..เรามองนาฬิกา..อืม ยังไงก็ต้องกินอะไรซะก่อนถึงจะเริ่มทำอย่างอื่นต่อไปได้..เราบอกยาเดช (Yadesh) เพื่อนร่วมกะว่าเราอยากนับเงินในเซฟก่อนที่คนทำความสะอาดพื้นจะมาตอนทุ่มนึง (ก็เวลาเดียวกับที่ยาเดชเลิกงานพอดี) เพราะเราไม่อยากเปิดเซฟต่อหน้าคนภายนอก (เราต้องเช็คเซฟสองครั้งต่อกะ ครั้งแรกตอนเริ่มกะกับตอนเลิกงานเพื่อเช็คจำนวนเงินให้ครบนั่นเอง) ..วันนี้จะมีคนมาทำความสะอาดพื้นกับผนังเป็นการพิเศษเพื่อเตรียมรับกับการตรวจร้าน (audit) ประจำเดือน แมรี่แอนน์ขอให้เราอยู่โยงจนถึงสามทุ่มครึ่ง ซึ่งเราก็โอเคเพราะเมื่อคืนนอนมาเยอะ..แต่ดูท่าวันนี้เราอาจจะต้องอยู่นานกว่าสามทุ่มครึ่ง เพราะอย่างที่บอก อะไรต่ออะไรก็ยังไม่เสร็จซักอย่างเพราะวันนี้ร้านยุ่งมากกว่าทุกวัน ขายดิบขายดีทำบ่ะเก็ตไม่ทันขาย แต่พอหลังหกโมงกลับขายไม่ออกมีแต่คนมาซื้อกาแฟ (ซึ่งก็ไม่ค่อยผิดปกติเท่าไหร่หรอก) ของขายดีเราก็ชอบอยู่แล้วล่ะ แต่ปัญหามันมาอยู่ที่เราก็จะไม่มีเวลาทำความสะอาดร้านกันก็เท่านั้นเอง


เราไปพักเบรคแต่ก็ไปแค่กินอะไรเสร็จไม่ได้พักจนครบกำหนดครึ่งชั่วโมงอย่างทุกครั้ง เพราะรู้สึกแย่ที่จะนั่งเล่นปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่ทำงาน (แม้ว่าจะได้เงินจากการทำงานเพิ่มก็เหอะ) เราถือโอกาสช่วงหลังพักเบรคนับเงินในเซฟพอนับเสร็จเราก็บอกให้ยาเดชไปพักบ้าง ยาเดชก็ดีใจหาย ไปพักแค่กินบ่ะเก็ตหมดเหมือนกัน พอกินเสร็จก็รีบกลับมาช่วยเรารับลูกค้า ส่วนเราก็จะได้เริ่มล้างหม้อ ล้างไห เอ๊ย ไม่ใช่ ล้างกล่องใส่เครื่องปรุง ถาด ฯลฯ ให้เสร็จโดยไว


เลยทุ่มนึงมาหลายนาทีแล้ว แต่ยาเดชยังอยู่โยงช่วยเราทำความสะอาดเครื่องชงกาแฟ เราดูออกว่ายาเดชพยายามช่วยเราให้มากที่สุด แม้ว่าตัวเขาเองจะเมื่อยล้าไปทั้งตัวเพราะไปยิมมาเมื่อวันก่อน ยาเดชบอกเราว่าพรุ่งนี้ (ที่เราจะเข้างานด้วยกันอีก) จะดีกว่าวันนี้สาวิตรี ..ยาเดชหมายถึงเขาจะช่วยเราทำความสะอาดและเก็บร้านให้มากกว่านี้ แต่วันนี้เขาต้องกลับบ้านแล้วเพราะไม่ไหว..เราเข้าใจเขา บอกขอบคุณแล้วบอกเขาว่าไปพักเถอะ เดี๋ยวเราก็ค่อยๆทำจนเสร็จเองแหละ นี่ก็ทุ่มสิบห้าแล้วด้วย


..แล้วคนทำความสะอาดที่นัดไว้ก็มาพอดี (ตายล่ะ ยังทำอะไรไม่ถึงไหนเลย) เราเจรจาต้าอ่วยกับเขานิดหน่อย ประเด็นคือเขาเข้ามาทำความสะอาดผนังและพื้น แต่งานเราต้องเดินไปเดินมาระหว่างหน้าร้านกับหลังร้าน เพราะงั้นเขาจะยังทำความสะอาดพื้นไม่ได้จนกว่างานเราจะเสร็จ ...แล้วนี่วันนี้งานเราก็ล่าช้ากว่าปกติตั้งเยอะ..มันจะยิ่งทำให้เขาเริ่มงานทำความสะอาดพื้นช้าเข้าไปอีก..เฮ้อ.. แต่ในที่สุดเราก็ทำการตกลงกันว่าใครจะทำอะไรตรงไหนก่อนเพื่อที่จะเป็นการรบกวนงานของกันและกันให้น้อยที่สุด


พอเราปิดร้าน..อ่า..เวลาของการทำความสะอาดของจริง เพราะเราไม่ต้องกังวลหน้าร้านแล้วถาดใส่บ่ะเก็ตก็จะเก็บล้างได้ในล็อตเดียว เตาอบอุ่นบ่ะเก็ตก็ถอดปลั๊กเตรียมทำความสะอาดได้ รวมถึงนับเงินในแคชเชียร์ด้วย พอเราจะเริ่มนับเงิน โทรศัพท์ก็ดัง..แหม่..ไม่ค่อยอยากจะรับเลยนะเนี่ย เพราะอยากจะรีบทำงานให้เสร็จๆ


...Hello, Upper Crust Parkway Station. How can I help?..
ฮัลโหล สาวิตรี นี่แอนดี้นะ ผมมีเรื่องนิดหน่อย..คือเรื่องมันมีอยู่ว่า..ฯลฯ


สรุปก็คือ แอนดี้มาทำงานพรุ่งนี้เช้าไม่ได้ (เข้างานตีห้าถึงบ่ายโมง) เราต้องหาคนมาเปิดร้าน The Shop แทนเขา..แล้วนี่มันสองทุ่มกว่าแล้วนะ..จะไปหาใครที่ไหนวะ..เราเริ่มโทรหาทุกคนที่โทรได้ (หมายถึงว่า..โทรหาทุกคนที่เขาไม่ได้จะเข้างานพรุ่งนี้อยู่แล้ว เพื่อขอให้เขามาเข้างานเป็นพิเศษวันพรุ่งนี้..
..โทรหาซาร่า ซาร่าไม่ว่าง ต้องเลี้ยงหลาน
..โทรหาเคลลี่ เคลลี่ไม่ว่าง
..โทรหาเดล เดลไม่รับสาย
..โทรหาลอร่า..ลอร่าต้องเข้างานตอนแปดโมงอยู่แล้ว แต่เราขอให้เจ้าหล่อนมาทำงานเร็วหน่อย เพื่อเปิดร้าน..ลอร่าบอกว่าไม่สะดวก แล้วพยายามแนะนำเรากลับว่า อ้าว สาวิตรี เธอก็เปิดร้านได้ไม่ใช่เหรอ เธอรู้ว่าต้องจัดการกับบรรดาหนังสือพิมพ์ยังไงไม่ใช่เหรอ..แต่เราต้องเข้างานตอนบ่ายโมงอยู่แล้วนะลอร่า แล้วอีกอย่างถ้าเราต้องตื่นตีสี่มาเปิดร้าน เราก็คงไม่มาแค่จัดหนังสือพิมพ์แล้วกลับไปนอนต่อ แล้วกลับมาเข้างานอีกทีตอนบ่ายโมงหรอกนะยะ เพราะปัญหามันไม่ได้อยู่ที่จัดหนังสือพิมพ์ ปัญหามันอยู่ที่จะหาใครยอมลุกจากเตียงตอนตีสี่ต่างหาก..ลอร่าได้แต่หัวเราะตอบเรา (เฮ้อ..คิดได้ไงวะ ให้ตื่นมาทำงาน แล้วกลับไปนอนต่อ แล้วกลับมาใหม่..ไม่อยากจะเชื่อ!!!) ในที่สุดเราก็หมดทางเลือก..แย่สุดร้านก็เปิดไม่ได้..เราคิด..


เราส่งเมสเซสไปบอกแมรี่แอนน์ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น (โปรดอย่าลืมว่าระหว่างที่พยามยามโทรหาทุกคน เรายังต้องสาละวนเก็บร้านและทำทุกอย่างไปด้วย!) แมรี่แอนด์โทรกลับมาหาเราแล้วบอกว่า เราต้องโทรไปเทมเพิ่ลมีดส์ (Temple Meads) โดยด่วนให้เขาหาคนมาช่วย..เอ่อ..ใครที่ตามอ่านไดอารี่มาโดยตลอดคงพอทราบนะคะว่าทำไมต้องโทรไปเทิมเพิ่ลมีดส์ (อ้าว สามทุ่มกว่าแล้ว ยังมีคนอยู่เหรอ)
เราโทรไปจนเจอผู้จัดการที่ปฏิบัติหน้าที่ประจำกะนี้-พอล


"พอล..เรามีปัญหานิดหน่อย เราไม่มีคนเปิดร้านพรุ่งนี้"
"อะไรนะ!" (ไม่ค่อยแปลกใจกับปฏิกิริยานี้ค่ะ)
พอลเงียบไปนานมากกกก..จนเรานึกว่าแอบวางหูหนีเราไปแล้ว จนในที่สุดเราก็ได้ยินเสียงพอลงึมงัมกลับมาว่า แล้วจะไปหาใครตอนนี้ ต้องเปิดร้านตอนตีห้าครึ่งเนี่ยนะ
"เอ่อ พอล เรามีไอเดียจะเสนอ..คือว่า..เราสามารถเปิดร้านได้ แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า คืนนี้เราต้องเลิกงานดึกว่าปกติ ถ้าจะให้เรามาเข้างานพรุ่งนี้ตอนตีห้า เราขอเลิกงาน 11 โมงเช้าแทนบ่ายโมงได้ไหม แต่ปัญหามันมีว่าคนที่จะมาเข้ากะต่อที่ช็อปจะมาบ่ายโมง แล้วเวลาตามตารางงานเราเดิมก็คือบ่ายโมงถึงสามทุ่ม เพราะงัั้นพอลต้องหาคนมาเข้างานตั้งแต่สิบเอ็ดโมงถึงสามทุ่ม"
"ตกลงคือยูจะทำตีห้าถึงสิบเอ็ดโมงใช่ไหม แล้วผมต้องหาคนทำงานต่อจากนั้น โอเค อีกยี่สิบนาทีโทรหาผมอีกทีนะว่าผมหาใครมาทำงานได้ไหม"
ฟังดูพอลค่อนข้างจะแฮปปี้กับทางเลือกนี้เพราะอย่างน้อยก็มีเวลาหายใจในการหาคนมาทำงานมากขึ้นและง่ายขึ้นด้วย


ในที่สุดปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขตามที่เราเสนอ เราส่งเมสเซสไปบอกแมรี่แอนน์เพื่อเธอจะได้นอนหลับได้สนิทมากขึ้น


เพราะงี้วันนี้หลังเลิกงานเราเลยหมดสภาพอย่างแรง (นึกอยากกระโดดขึ้นเตียงนอนทันทีตั้งแต่เห็นคนมาเข้างานต่อ)..เอาวะ อย่างน้อยปัญหาก็ได้รับการแก้ไข เราบอกตัวเองอย่างนั้น
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ก.ย. 29, 2010 10:04 pm

23Sep2010..


สิบเอ็ดโมงกว่า วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน 2010 @ home


อีกไม่ถึงชั่วโมงก็ได้เวลาไปทำงานแล้ว ช่วงนี้ไดอารี่ชักหายไปถี่ขึ้น แถมหายทีนานๆเสียด้วย นั่งทบทวนกับตัวเองก็ได้เหตุผลว่า เวลาที่ตัวเองต้องใช้เวลาขบคิดปัญหาหรือเรื่องต่างๆในชีวิต ไดอารี่ก็จะหายไปตามระเบียบ เพราะไม่สามารถจัดเวลาและเรียบเรียงความคิดมาถ่ายทอดผ่านไดอารี่ได้นั่นเอง


เราเริ่มรู้สึกตัวว่ากิจกรรมที่ทำแล้วเหนื่อยและใช้พลังมากที่สุดก็คือ การใช้ความคิด


ช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมาเราเริ่มเกิดความหงุดหงิดใจกับที่ทำงานคำรบใหม่ หนนี้ต้องรีบแปรเปลี่ยนความอึดอัดใจเป็นแรงหางานรอบใหม่ เพราะทนไม่ไหวแล้วเว้ยยยย...


เราเริ่มสังเกตตัวเองว่า การใช้ชีวิตที่นี่ทำให้เรามีโอกาสได้ทบทวนการใช้ชีวิตของตัวเองเยอะขึ้น ไม่ใช่มันมีเรื่องให้ทำน้อยกว่าตอนอยู่เมืองไทย แต่เพราะมันมีโอกาสได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นมากกว่า ..นึกย้อนไปถึงตอนอยู่เมืองไทย วันๆ ตื่นขึ้นมาก็จัดการกับเรื่องตรงหน้าหรืออะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าก็หมดวันแล้ว ไม่ต้องมีเวลาได้คิดว่าจะจัดการกับชีวิตตัวเองอย่างไร หรือต้องทำอะไรเพื่อให้ตัวเองมีชีวิตที่ดีขึ้น


แต่หนนี้อยู่ที่นี่ บางวัน บางขณะได้มีเวลาทบทวนกับตัวเองจริงๆ จังๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาสมัครงานใหม่ เพราะตลาดแรงงานที่นี่ดูเหมือนจะบังคับแบบอ้อมๆ ให้คนเรารู้จักตัวเองให้ดีพอ แล้วพร้อมที่จะแสดงออก เพราะไม่งั้นคนอื่นเขาก็ไม่รู้ว่าเราเองมีดีอะไร


แค่คิดเรื่องง่ายๆพวกนี้ก็ทำให้เราหัวมึนไปเป็นวันๆ ..บางคนแอบเถียงในใจว่า..ก็แล้วจะคิดมากไปทำไมให้ปวดหัวล่ะ งานอะไรก็ได้ทำๆไปให้มันได้เงินมาก็พอแล้ว..เราก็จะเถียงกลับว่า ก็เพราะเราไม่อยากทำงานแค่เพื่อเงิน หรือใช้ชีวิตไปเพียงเพราะแค่กระแสสังคมกำหนดน่ะสิ..เพราะไม่งั้นแล้ว..ชีวิตเราที่นี่จะต่างอะไรกับตอนอยู่เมืองไทย..จริงมะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ก.ย. 29, 2010 10:06 pm

28Sep2010 ไปเดทกับเทรฟ?


เก้าโมงกว่า วันอังคารที่ 28 กันยายน 2010 @ home


เมื่อเสาร์ที่แล้วเข้างานแปดโมงเช้า เลิกงานห้าโมงเย็น ดูเป็นชั่วโมงทำงานที่สมเหตุสมผลของคนทำงานออฟฟิศทั่วไป แต่ทำงานกินรายชั่วโมงแบบเราเวลาทำงานแบบนี้ถือเป็นกะยาวใช่ย่อย แถมมีเวลาพักแค่ครึ่งชั่วโมง ถ้างานยุ่งติดพันก็บ่อยไปที่เราไม่ได้พัก..เฮ้อ..ไหงกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้ เห็นงานสำคัญกว่าปากท้องตัวเอง..แต่ไม่เป็นไร วันนี้มีโปรแกรมพิเศษหลังเลิกงาน เราเลยทำงานไปด้วยความตื่นเต้น รอเวลาเลิกงาน..


ก็แหม..วันนี้เรามีเดท..เดทกะเทรฟ..หวานใจคนเดียวของเรา อิอิ


เทรฟชวนไปกินข้าวนอกบ้าน เรานัดกันไปกินข้าวที่ผับที่อยู่ไม่ไกลจากบ้าน ผับนี้หน้าตาดูดีสะอาดสะอ้าน น่าจะปลอดภัยจากพวกเมาแล้วพาลทั้งหลาย เราสองคนเดินไปกันเพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้านมาก ใช้เวลาเดินแค่ 15 นาที แถมเราตั้งใจไปดื่มกันด้วยเพราะงั้นก็ขับรถไม่ได้อยู่ดี ส่วนเหตุผลสำคัญของการต้องมาคืนวันเสาร์ (สำหรับเทรฟ) ก็คือมันมีโปรโมชั้นพิเศษ กินสองคนรวมไวน์อีกขวดแค่ ?20 (ราว 1000 บาท) ถือว่าราคาสมเหตุสมผล (ปกติไปกินร้านอาหารจะตกประมาณ ?40 หรือสองพันบาท) ไปถึงก็เลือกเมนูที่ต้องตาถูกใจ แล้วเราก็มีหน้าที่ไปหาโต๊ะนั่งจองไว้ก่อน เพราะวันนี้ผับดูคึกคักแต่หัววัน นี่ขนาดแค่ทุ่มเดียวคนยังเกือบเต็มร้านแล้ว ส่วนเทรฟมีหน้าที่ไปสั่งอาหารกับคว้าไวน์มาไว้ครอบครอง เราเลือกโต๊ะนั่งที่อยู่ไกลบาร์ออกไปหน่อยจะได้ไม่เสียงดังมาก


ระหว่างรออาหาร (เพราะท่าทางจะนานแน่ๆ) เราก็คว้าเกมส์เศรษฐี (Monopoly) มาชวนเทรฟเล่น เทรฟเห็นเราถือเกมส์มาก็ทำหน้าแปลกใจถามเราว่า ไม่เคยเล่นเกมส์เศรษฐีเหรอ เราว่าเคยเล่น แต่ไม่เคยเล่นกับเทรฟ แล้วก็ไม่เคยเล่นภาคภาษาอังกฤษด้วย..อ่อ..กล่องเกมส์ที่ว่าที่ผับเขามีไว้บริการอ่ะ ไม่ได้ถือไปเองจากบ้านหรอกนะ.. ว่าแล้วเราก็กางกระดาน แจกเงิน เลือกตัวเล่นเกมส์ ฯลฯ กติกาโดยทั่วๆไปก็เหมือนเกมส์เศรษฐีที่เคยๆเล่นมา จะแตกต่างกันนิดหน่อยตรงที่จะซื้อบ้านได้ก็ต่อเมื่อมีที่ดินในย่านเดียวกันครบทุกโฉนด แล้วบ้านก็เอาไปจำนองกับแบงค์ได้ด้วย นอกนั้นก็เป็นกฎเล็กกฎน้อยที่ต้องตั้งใจฟังให้ดีเวลาเทรฟท้วงขึ้น เพราะส่วนใหญ่เทรฟมั่วขึ้นมาเองทั้งนั้น (เฮ้อ..สามีฉ้านน) ตามไม่ทันมีหวังโดนหลอก..


การณ์กลายเป็นว่าหลังจากอาหารมา จากทีแรกที่คิดว่าจะเลิกเล่นกลายเป็นติดพันเล่นกันยาวเหยียด เทรฟมีตังค์มั่งมีขึ้นมาทีเดียว ส่วนเราตังค์หมดชนิดไม่มีจะจ่ายค่าเช่า เทรฟก็คอยกระแนะกระแหนให้เราเอาบ้านเข้าธนาคาร คอยกัดคอยจิกตลอดเวลาว่า..เฮ้อ..เบื่อจริงไอ้พวกไม่มีตังค์เนี่ย..แล้วเราก็นะขยันตกบนที่ดินของเขาที่มีบ้านสี่หลัง (ตอนหลังเปลี่ยนเป็นโรงแรม) ตกทีจนไปหลายตลบ เทรฟก็เหน็บแนมไปเรื่อยๆ ทั้งขำทั้งโมโห..แต่ในที่สุด..ก็ได้เวลากลับบ้านเพราะเริ่มง่วงแล้ว สรุปจากที่ว่าจะมากินข้าวแล้วกลับก็กลายเป็นว่านั่งเล่นเกมส์ยาวจนห้าทุ่ม..ทำเอาเราทั้งสองคนแปลกใจตัวเอง เพราะปกติไม่ใช่ขาประจำนั่งผับ (เพราะงก)..แต่ก็ต้องถือว่าเป็นมื้อเย็นที่สนุกสนานรื่นรมย์ไม่น้อย


เดทครั้งนี้เลยถือว่าประสบความสำเร็จเพราะทั้งเราทั้งเทรฟเหมือนได้รื้อฟื้นความหลัง (โห..ฟังดูนานขนาดนั้น) รื้อฟื้นความรู้สึกช่วงที่่คบกันก่อนแต่งงาน เพราะไม่อยากให้มันกลายเป็นความรู้สึกว่าเป็น "ของตาย" หลังแต่งงานกันแล้ว..อืม..แฮปปี้ๆๆค่ะ


เช้าวันอาทิตย์ หลังจากนอนโอ้เอ้กันจนสายโด่เด่..วันนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่วันที่เราสองคนไม่ได้มีการวางแผนกันล่วงหน้าว่าจะทำอะไร ไม่งั้นปกติแล้วตารางงานที่ต้องทำจะยาวเหยียดจนงงว่า เอ๊ะ นี่มันเป็นวันหยุดเราสองคนกันหรือเปล่าเนี่ย


วันนี้มีแค่โปรแกรมพิเศษอย่างเดียวที่ต้องทำ (เพราะเอาหมูออกจากตู้แช่ไว้แล้วตั้งแต่เมื่อคืน) ก็คือทำไส้อั่ว!!!


อยากกินมากกกก เคยได้กินครั้งสองครั้งเมื่อครั้งอยู่บ้านพี่แอ๋ว สั่งซื้อจากเพื่อนเขา แต่ไม่ไหวไส้กรอกสี่อัน ?10 (ห้าร้อยบาท) แถมหนนี้ถึงต่อให้จ่ายไหวก็ไม่รู้ว่าจะให้เขาส่งไปรษณีย์มาให้ยังไง เพราะมันเป็นไส้กรอกสดอ่ะนะ


เราหาสูตรจากอินเตอร์เน็ตเพื่อดูเครื่องปรุงคร่าวๆ จากนั้นก็ลงมือทำ ของทุกอย่างมีอยู่ในบ้านอยู่แล้ว เทรฟก็ซื้อไส้มาไว้ให้แล้วด้วย พูดง่ายๆ ก็คือหมูสับใส่เครื่องแกงแดงนั่นเอง (ต่างจากเครื่องแกงแดงปกติของเราก็ตรงที่เพิ่มหัวหอมกับขมิ้น) เราเพิ่มใบมะกรูดกับต้นหอมลงไปด้วย อยากให้มันเขียวๆ หอมๆ ผลปรากฏว่าทำออกมาแล้ว รสชาติจัดจ้านถูกใจ เพราะอยากได้ใส้อั่วเผ็ดๆ กินที่เมืองไทยไม่เคยหาได้ ตอนนี้รู้แล้วว่าทำยังไงก็..ฮ่าฮ่า ทำได้เผ็ดสมใจ เทรฟมีข้าวเหนียวตุนไว้อยู่แล้วก็เลยงัดออกมาอุ่นกินกับแคบหมูที่ซื้อมาจากร้านเวียดนามนานแล้ว แถมด้วยถั่วคั่วที่คั่วติดบ้านไว้ตลอด ฮ่า..อร่อยถูกใจ..เสียดายขาดแต่น้ำพริกหนุ่ม เราขี้เกียจซะก่อน..ก็..เอาไว้ก่อนละกันนะ ครั้งหน้าได้กินครบสำรับแน่ แล้วจะถ่ายรูปมาให้ดูนะจ๊ะ..หนนี้หิวกันจัด ทำเสร็จก็ลุยกินกันเลย กว่าจะรู้สึกตัว..อ้าว เกือบหมดแล้วนี่หว่า (ฮา)




พรุ่งนี้จะออกเดินทางไปฝรั่งเศสแล้ว แล้วจะเก็บรูปกับบรรยากาศมาเล่าให้ฟังนะค้าาา ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร ต.ค. 19, 2010 10:51 am

4Oct2010 กลับจากปารีสเมื่อวาน?


บ่ายสามโมง วันจันทร์ที่ 4 ตุลาคม 2010 @ บ้าน..มิใช่ที่โรงแรม 'My hotel in France'


แฮ่..กลับมารายงานตัวตามสัญญา (ก่อนที่จะลืมเรื่องราวที่ปารีส) กลับมาเล่าว่าไปทำเปิ่นอะไร ณ กลางกรุงปารีส เมืองแห่งแฟชั่นกะเขาบ้าง


เราออกเดินทางกันเช้าวันพุธที่ 29 กันยายน ออกจากบ้านกันเก้าโมงกว่า ไปถึงปารีสเอาตอนสามสี่โมงเย็น..ที่มันช้าน่ะ ไม่ใช่ช้าเพราะข้ามจากเกาะอังกฤษไปฝรั่งเศส แต่ช้าตรงสถานีรถไฟจากบ้านไปลอนดอนเนี่ยแหละ อ้อ ลืมบอกว่าเดินทางครั้งนี้เราไปรถไฟกัน ก็นั่งรถไฟจากสถานีใกล้บ้านในบริสตอล (ซึ่งก็คือสถานีที่เราไปทำงานอยู่ทุกวันนั่นแหละ) ไปต่อรถไฟ ที่สถานีรถไฟแพดดิงตั้น (Paddington) ในลอนดอน นั่งรถไฟใต้ดิน (Tube)จากแพดดิ้งตั้นไปสถานีเซนต์แพนเค้ก..เอ๊ย ไม่ใช่ เซนต์แพนเครส (St Pan Cras)..มันเรียกยากเลยชอบเรียกเป็นแพนเค้กอยู่เรื่อยเลย..อิอิ จากนั้นก็นั่งรถไฟที่ข้ามไปยุโรปเรียกว่า ยูโรสตาร์ (Euro Star) ไปถึงฝรั่งเศสหรือปารีส (นั่งไปปารีสโดยตรง มันมีรถไฟไปเมืองอื่นในฝรั่งเศสได้ด้วย) ก็นั่งรถไฟใต้ดินซึ่งที่นี่เรียกว่าเม็ทโทร (Metro) ไปโรงแรม..ฟังดูเหนื่อยเนอะ แต่ไม่ได้ยุ่งยากเท่าไหร่หรอก..นิดหน่อยเท่านั้นเอง ฮี่ฮี่


ไปถึงโรงแรมแล้ว อย่างที่เกริ่นที่หัวไดอารี่ โรงแรมเราที่นี่ชื่อ My hotel in France ชื่อเก๋ไก๋แบบไม่ต้องคิด เป็นลักษณะเหมือนตึกแถวหกชั้น (เพราะเราอยู่ชั้นหก) เป็นคูหาห้องหัวมุม เราเดาๆเอามีชั้นละประมาณหกห้อง ห้องก็แคบๆ ลิฟต์ก็แคบๆ ชนิดจำกัดให้ขึ้นได้ไม่เกินสามคน (แคบขนาดไหนคงจินตนาการได้) เทรฟแอบแซวว่าถ้าไอ้กัน (อเมริกัน)มามีหวังขึ้นได้แค่สองคน (แปลว่าคนอเมริกันมักจะตัวอวบอ้วนเกินขนาดนั่นเอง)


เทรฟบอกว่าตึกส่วนใหญ่ที่นี่ทำเป็นแฟลต (เราเดาว่าตั้งแต่ชั้นสองขึ้นไป ส่วนชั้นล่างก็เป็นร้านค้า) เพราะแฟลต (อ้อ แฟลตที่นี่หมายถึงคอนโดห้องชุดตามความหมายของคนไทยนะคะ) เป็นที่นิยมและประชากรก็หนาแน่นมาก เราไปถึงความรู้สึกแรกคือ ทำไปปารีสมันแออัดแบบนี้หว่า ประมาณว่าทุกที่ที่มองไปจะเป็นตึกหน้าตาสไตล์ยุโรปแท่งๆยาวๆ ขึ้นพรึ่บไปทั้งสองข้างถนน ถนนที่นี่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้กว้างมากมาย แถมคนขับรถที่นี่ก็มีมารยาทชนิดน่าตกใจ..คือเราเคยชินกับมารยาทการหยุดรถให้คนข้ามที่ทางม้าลายของอังกฤษ ชนิดว่าบางครั้งเดินข้ามได้โดยไม่ต้องมองรถ (แต่มองหน่อยก็ดี) มาที่นี่ต่อให้สัญญาณไฟให้คนข้ามบอกให้ข้ามได้ แถมยืนอยู่ตรงทางม้าลายแล้ว พี่คนขับรถยังไม่ยอมจะหยุดให้ข้ามเลย..เฮ้อ..


หลังจากนั่งพักกันแป๊บนึงเราก็ออกไปหาข้าวกิน..เอ้ย อาหารเย็น...มาถึงปารีสไม่กินข้าวแน่นอน เรามาปารีสครั้งนี้สถานที่ท่องเที่ยวหรือสถานที่ที่ต้องไปของปารีสไม่ใช่เป้าหมายใหญ่ของเรา แต่เป้าหมายสำคัญคือ "อาหารฝรั่งเศส" ฮี่ฮี่ ทริปนี้ต้องลองให้ได้เยอะที่สุด เพราะงี้เย็นนี้ก็เลยต้องเป็นอาหารฝรั่งเศสอย่างแน่นอน (อ้อ ปารีสก็เหมือนเมืองใหญ่ๆทั่วไปน่ะนะ คือมีอาหารให้กินให้ลองสารพัดชาติ ทั้งไทย จีน อิตาลี ญี่ปุ่น) คนฝรั่งเศสขึ้นชื่อเรื่องพิถีพิถันเรื่องกินอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่แปลกใจที่ว่าเราพบว่า ร้านอาหารหรือภัตตาคารดีๆ มีให้เห็นมากกว่าแม็คโดนัล (ทั้งทริปเราเจอแค่สามสาขา) หรือเคเอฟซี (เราไม่เจอซักที่!) ซึ่งก็ไม่แปลกใจอีกเช่นกันถ้าธุรกิจร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดเหล่านี้จะไม่ทำเงินในปารีส


ร้านอาหารที่นี่เขาจะมีเมนูบอกรายการอาหารและราคาอยู่หน้าร้าน (อันนี้ไม่แปลกอะไร) เราก็เดินๆ เลือกๆ เอาราคาที่จ่ายได้อ่ะนะ จนมาถึงร้านๆนึง หน้าตาสะอาดสะอ้าน ดูราคาน่าจะรับได้ (แต่ยังเข้าไม่ได้เพราะเขาเปิดตั้งทุ่มครึ่ง) เดินเตร่ไปเตร่มารอร้านเปิด แล้วก็เข้าไปอุดหนุนเป็นลูกค้าประเดิม ที่ทำเอาเราขำก็คือ พอเราจะเริ่มสั่งอาหารเราก็ต้องขอเมนูใช่มะ..ที่นี่นะครับ..คุณพี่พนักงานก็เดินออกไปหน้าร้านไปหยิบไอ้กระดานดำที่เขียนรายการอาหารที่ตั้งอยู่หน้าร้าน ยกเข้ามาวางตึ้งบนเก้าอี้ให้เราเลือกซะอย่างนั้น รวมไปถึงเมนูไวน์และอื่นๆ ..เห็นครั้งแรก..เราอึ้งไปเลย พออยู่ไปซักพักก็เริ่มชิน..อ้อ มันทำอย่างนี้กันทุกร้าน ดีเนอะ ประหยัดต้นทุน ไม่ต้องพิมพ์เมนู....และด้วยการตั้งข้อสังเกตของเราเอง เราก็พบว่าถ้าไปร้านไหนที่เขาเขียนรายการอาหารบนกระดานดำ (ขนาดประมาณหนึ่งฟุตคูณฟุตครึ่งหรือสองฟุต) ก็มีแนวโน้มว่าอาหารจะคุณภาพดี เพราะเชฟจะคอยเปลี่ยนเมนูเป็นระยะๆ (คือเขาก็ลบแล้วเขียนใหม่นั่นเอง) แต่ถ้าเป็นเมนูแบบพิมพ์มาบนกระดาษเคลือบพลาสติกหรือมาเป็นแฟ้มๆแบบทั่วๆไป ก็มีแนวโน้มว่าอาหารอาจจะไม่น่าประทับใจเท่าไหร่..เอ่อ..อันนี้ข้อสันนิษฐานตามประสบการณ์อันน้อยนิดของข้าเจ้าแต่ผู้เดียวนะคะ มิได้มีหลักฐานใดๆมาสนับสนุน โปรดใช้วิจารณญาณในการเชื่อ..

รูปภาพ

ตับห่าน

รูปภาพ

เทอร์รีน (Terrine)

เมนูวันนี้เก๋ไก๋น่าประทับใจเราสองคนอย่างมาก เราสั่งสตาร์ทเตอร์ (Starter)หรืออาหารเรียกน้ำย่อย (จริงๆ ไม่ต้องเรียกมันก็มารออยู่แล้วล่ะ) กันคนละจาน ของเราเป็นฟากัวร์หรือตับห่านอันลือชื่อว่าทรมานสัตว์มาเสิร์ฟ..เอาวะ วันนี้ขอขัดใจคนรักสัตว์หน่อยเถอะ อยากลองมานานแล้วว่ารถชาติมันเป็นเช่นไร..โห่..ไม่อยากจะบอกว่า..น้องห่านขา..จะโกรธกันก็ไม่ว่า ขอทำบุญไปให้ทีหลังแล้วกันนะ..เพราะตับน้องอร่อยขาดใจ เราปกติไม่กินตับสารพัดชนิด แต่ตับห่านจานนี้หน้าตาเหมือน..เหมือนอะไรดี (ดูรูปที่ 0151 เอาละกัน..พอดีเปลี่ยนชื่อไฟล์ไม่ทัน) เนื้อตับเนียนเหมือนครีม ไม่คาว ไม่เลี่ยนและไม่มัน รสชาติชนิดบรรยายไม่ถูก..ต้องลองเอง (เพราะเงี้ยน้องห่านก็ต้องโดนทรมานต่อไป..เศร้าจริง) เทรฟลองกินแล้วบอกว่าฟากัวร์ที่นี่คุณภาพดีมากต้องบอกว่าเป็นตับ(ดิบ)ล้วนๆ ชนิดไม่ผสมหรือปรุงแต่ง เรียกว่าผ่าท้องเอาออกมาใส่กล่องเพื่อให้มันได้รูปทรงไปรอหั่นเสริฟลูกค้าเท่านั้นเอง ส่วนของเทรฟสั่งเทอร์รีน (Terrine) เนื้อกระต่ายมากิน..เอ่อ..ขออธิบายเพิ่มนิดเทอร์รีนเนี่ยเป็นอาหารที่เขาเรียกว่าเป็นประเภท Cold meat คือกินแบบชนิดเอาออกจากตู้เย็นแล้วกินเลยไม่ต้องอุ่นร้อน ทำจากเนื้อสัตว์ได้หลายชนิด (แต่ไม่รวมกันนะจ๊ะ เอ๊ะหรือมีแบบทำรวมกันก็ไม่รู้นะ) เช่นเนื้อกระต่ายแบบที่เทรฟกิน ปลา เป็ด หมู หรืออย่างอื่น เราว่ามันมาจากไอเดียที่ว่าเอาส่วนที่เหลือของสัตว์ที่ไม่ใช่เนื้อมาต้มให้เปื่อยแล้วเอาใส่พิมพ์เข้าตู้เย็น พอมันแข็ง (ซึ่งส่วนใหญ่จะมีมันปนอยู่ด้วย ทั้งจากไขมันและหนัง) ก็จะเหมือนเจลลี่ภาคเนื้อสัตว์อ่ะ นึกไม่ออกก็จินตนาการเหมือนหัวหมูแช่เย็นอ่ะ เพราะเทอร์รีนหมูเนี่ยก็เอาหัวหมูมาต้มจนเปลื่อยนั่นแหละ ต้องเรียกว่าไอ้อาหารประมาณนี้บ้านเรากินกันมานมนาน ที่นี่ก็คงเหมือนกันแต่ที่นี่ดูจะเป็นอาหารไฮโซใช้ได้อยู่

รูปภาพ

สเต็กเนื้อแกะ

รูปภาพ

สเต็กทาร์ทาร์

หมดจากสตาร์ทเตอร์ก็ต่อด้วยอาหารจานหลักเราสั่งสเต็กเนื้อน้องแกะ (เพราะไม่ค่อยได้กินบ่อย รูป0156) ส่วนเทรฟสั่งสเต็กทาร์ทาร์ (รูป 0155) อันหลังนี่ต้องลองเลย เพราะไม่เคยเห็นเคยได้ยินแต่ชื่อ มันสเต็กเนื้อสด..พูดง่ายๆก็คือเนื้อวัวดิบๆเลยนั่นเอง เลือกเอาส่วนที่ดีและนุ่มที่สุดเอามาบดใส่พวกสมุนไพร กรณีนี้คือเคเปอร์ (Caper) เป็นเม็ดๆคล้ายเม็ดพริกไทยสด ใหญ่เล็กก็ว่ากันไปตามคุณภาพรสชาติคล้ายมะกอก งงมะเนี่ย เอาเป็นว่าหาดูเอาจากอินเตอรืเน็ตละกันถ้าไม่รู้จัก เราได้ยินครั้งแรกคิดว่ามันจะคาวจนกินไม่ได้..แต่ที่ไหนได้มันอร่อยเหลือเชื่อ ไม่คาว ไม่เหนียวเลยซักนิด เทรฟบอกว่าเชฟที่นี่เลือกของดีมาทำกันเลย

รูปภาพ

กาแฟเซ็ท

เราปิดท้ายมื้อนี้ด้วยกาแฟ เพราะมีลางสังหรณ์ว่าเขาต้องทำของหวานได้น่าสนใจมากๆ เพราะขนาดของคาวยังเริ่ดซะขนาดนี้ ..แต่อ่ะนะ อยากกินขนมแต่กินได้แต่กาแฟเพราะพุงกางเต็มที กาแฟที่นี่ก็มาเป็นเซ็ทมาเลย (รูป 0159) เรียกว่ามีเค้กแถมาเป็นเครื่องเคียงด้วย รสชาติเด็ดขาดชนิดยอมอ้วนตายไปเลย..เฮ้อ..นี่ขนาดแค่วันแรกก็เมาท์มาซะยาว เห็นทีต้องไปก่อนละ ต้องไปตากผ้าก่อนที่แดดจะหมด


อ้อ เกือบลืมบอกประเด็นสำคัญปิดท้าย ร้านอาหารฝรั่งเศสแทบทุกร้าน (อืม..คิดว่าทุกร้านเลยนะ)จะเสริฟอาหารพร้อมตะกร้าใส่ขนมปังฝรั่งเศสที่หั่นมาเสริฟเหมือนเป็นเครื่องเคียง แล้วขนมปังฝรั่งเศสที่เรากินจากที่ร้านอาหารเย็นนี้ต้องบอกว่า..อร่อยมากกกก ไม่เคยกินขนมปังที่ไหนใหม่ สดและอร่อยเท่านี้ ที่สำคัญดีกว่าร้านอาหารอื่นๆที่เราลองมาตลอดทั้งทริปนี้ด้วย..อืม..อธิบายไม่ถูกอีกเช่นกัน ต้องลองครับ ต้องลองเอง


และสุดท้ายของท้ายสุด ด้วยอาหารคุณภาพสุดประทับใจขนาดนี้ แน่นอนว่าเราต้องออกจากชนิดไม่ลืมร้านนี้ไปอีกนาน เพราะราคาอาหารเย็นมื้อนี้คือ 75 ยูโร (หรือราวเกือบสี่พันบาท) แถมด้วยทิปอีก 10 ยูโร (เกือบห้าร้อยบาท)..แพงที่สุดเท่าที่เคยกินมา..แต่เอาน่า..ก็มันคุ้มมะใช่เหรอ..อิอิ (แต่..คงไม่กินกันบ่อยๆหรอกนะ)


ไว้จะเล่าเรื่องของวันต่อๆมาวันหลังนะ ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย Kun Nhu » จันทร์ พ.ย. 15, 2010 8:13 pm

ก๊อกๆๆ ครับ ก๊อกก !$ !$ !$
Kun Nhu
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 283
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ย. 09, 2009 5:58 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พฤหัสฯ. พ.ย. 18, 2010 3:17 pm

ต้องขอโทษที่ทำให้แฟนๆรอกันนาน ว่าแต่ตอนนี้มีแฟนๆอ่านกันกี่คนอ่ะเปิดเผยตัวหน่อย เผื่อเค้าส่งของที่ระลึกมาจะได้รู้ว่ามีกี่คน #(

19Oct2010 ปารีสวันที่สอง?


วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2010 @ home


กลับมาเล่าเรื่องปารีสต่อ (หายไปนานไปหน่อย ฮี่ฮี่)


---
วันที่สองในปารีสเป็นวันพฤหัสฯ เทรฟเริ่มไปเข้าสัมมนาวันแรก สาวิตรีก็ต้องฉายเดี่ยวตามธรรมเนียม เทรฟทำการบ้านมาล่วงหน้าอย่างดี ทำลิสต์ว่าเราควรทำอะไรวันไหน อย่างไร เพราะบางที่เทรฟก็เคยไปมาแล้ว บางที่ก็ยังไม่เคยไปแต่ไม่มีโอกาสไปเองเพราะต้องประชุม ก็แนะนำให้เราไปเที่ยวให้ทั่ว เทรฟเตรียมแผนที่ปารีส แผนที่รถไฟใต้ดิน ตั๋วรถไฟใต้ดิน เงินยูโร รวมทั้งหนังสือนำเที่ยวให้เรา อ่อ เราไม่ลืมพกกล้องถ่ายรูปไปด้วย แถมด้วยอาหารกลางวัน (โรงแรมนี้น่ารักมากมีการแถมแซนวิชเป็นอาหารกลางวันให้แขกที่พักด้วย มาเป็นเซ็ทเลย แซนวิช ผลไม้และน้ำหนึ่งขวด..อืม ประหยัดไปได้หลายยูโรอยู่)


วันนี้เทรฟแนะนำให้เราไปเที่ยวสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของที่นี่ อย่าถามเรานะว่ามันเรียกว่าอะไร เพราะพออ่านไม่ออกก็ไม่จำเลย จำทุกอย่างอย่างที่อยากจำเท่านั้น (หมายถึงตั้งชื่อให้มันใหม่หมด เพราะออกเสียงภาษาฝรั่งเศสไม่ถูก) สวนนี้เรียกลักซ์แซมเบิร์กหรืออะไรซักอย่างนี่แหละ แต่เราเรียกสวนฝรั่งเศส เพราะเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ต้องไปของปารีส เทรฟช่วยดูเรื่องสถานีรถไฟที่เราควรไปลง ฯลฯ แต่พอถึงเวลาจริงๆ เราก็ดุ่ยๆไปตามสไตล์เรานั่นแหละ


เรานั่งรถไฟไปลงริมแม่น้ำแล้วก็เดินเลาะแม่น้ำไปเรื่อย ผ่านอาคารรัฐสภา (National Assembly) ของที่นี่ จริงๆ เรียกรัฐสภาอาจจะไม่ถูกเพราะระบบการปกครองไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่าเรียกตามชื่อภาษาอังกฤษละกัน เดินผ่านไปตามลานกว้างเห็นอนุสาวรีย์อะไรก็ไม่รู้ ดูน่าสนใจอยู่ แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยรู้อะไรมาก ถ้าอะไรที่มันไม่สะดุดตาสุดๆ ก็จะเฉยๆซะงั้น (เสียของไหมเนี่ย) เราเดินเรื่อยเปื่อยไปจนเจอสวนสาธารณะที่อยู่ถัดไป เห็นนักท่องเที่ยวเดินกันเต็มไปหมดก็เลยเดาเอาเองว่าคงเป็นอีกหนึ่งในสถานที่น่าสนใจ ช่วงนี้ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสีแล้ว ต้นไม้เป็นเขียวๆ ทองๆ ดูสวยดี ถ้าเราพึ่งมาปารีสเป็นเมืองแรกในยุโรปเราคงหลงรักที่นี่ไม่น้อย แต่เผอิญว่าอยู่อังกฤษมาพักใหญ่แล้ว เรื่องต้นไม้เปลี่ยนสีเราตื่นเต้นไปตั้งแต่หลายปีก่อนที่มาถึงอังกฤษครั้งแรก เพราะงี้พอมองไปรอบๆ ถึงพอบอกได้ว่าเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เพราะอากัปกิริยาดูจะตื่นเต้นกันบรรยากาศรอบตัวอยู่ไม่น้อย (แม้ว่าบางส่วนจะเป็นนักท่องเทียวชาวยุโรปก็ตาม) ..ถามว่าทำไมดูรู้ว่าใครเป็นนักท่องเที่ยวใครเป็นคนท้องถิ่น ..ก็ถ้าเป็นคนท้องถิ่นเขาก็จะมาสวนสาธารณะในชุดวิ่งจ๊อกกิ้งหรือไม่ก็ชุดทำงาน (ประมาณว่าเดินตัดสวนไปทำงานหรือเป็นทางผ่าน) แต่คนส่วนใหญ่ที่เห็นแต่งตัวแบบพร้อมลุยหนาวและอากาศที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของที่นี่ พร้อมสะพายกล้องถ่ายรูปกันถ้วนหน้า หยุดถ่ายรูปกันเป็นระยะ และที่เป็นนักท่องเที่ยวแน่ๆ ก็บรรดาที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่แล้วมีไกด์นำทางด้วย..แบบนี้ยิ่งชัดเลย


เราเดินดุ่ยๆ ไปเรื่อย ทางเดินเป็นพื้นทรายเปียกๆ (ไม่ชอบเลย เพราะทรายมันร่วนและกระเด็นเวลาเดิน) เดินจนไปทะลุอีกด้านหนึ่งของสวน ถึงได้เจอสถานที่สำคัญที่ทุกคนต้องมา นั่นคือพิพิธภัณฑลูฟท์ (ขออภัยหากสะกดไม่ถูก) ที่รู้ว่าเป็นที่นี่แน่ๆ ก็ด้วยหลังคากระจกทรงปิรามิดอันโดดเด่นของที่นี่นั่นเอง เราเดินถ่ายรูปไปรอบๆ อดใจไว้ไม่เข้าไปดูเพราะรอไว้ไปดูพร้อมเทรฟ เราเดินออกจากบริเวณนั้นไปตามริมถนนริมแม่น้ำอีก..อีกนั่นแหละตึกอาคารแถวนี้ดูจะเป็นวังหรือปราสาทเก่า ถ้าพึ่งมายุโรปแรกๆคงตื่นเต้น ..แต่เราเฉยๆไปเสียแล้ว เป้าหมายต่อไปคือไปหาเครปกิน อิอิ เทรฟว่ามาปารีสต้องกินเครฟเพราะเหมือนของกินขายริมทางสำหรับนักท่องเที่ยว เราเดินมาตั้งครั้งวันแล้วยังไม่เจอร้านเครปซักกะร้าน..เอ๊ะ เทรฟอำเราหรือเปล่าหว่า? เราแอบคิด ..ชักหิวแล้วด้วย ร้านกาแฟในสวนสาธารณะคนล้านแปด ขี้เกียจต่อคิว..อ่อ ถ้าคนพึ่งไปเมืองนอกใหม่ๆ หาโอกาสมานั่งกินกลางวันกลางสวนสาธารณะแบบนี้ถือว่าสุดยอดของบรรยากาศเลยนะ..อย่าลืมหาโอกาสหย่อนใจในบรรยากาศแบบนี้ เพราะโอกาสที่จะหาสวนสาธารณะที่บรรยากาศเงียบสงบแบบนี้ในเมืองไทย (แถมปลอดภัยด้วย) คงไม่ใช่เรื่องง่าย


เราเดินไปเรื่อยเปื่อยจนเจอร้านเครป..อ่ะฮ้า..ต้องลองซักหน่อย..
เราสั่งเครปแฮมกับชีส..บอกได้เลยว่า เก็บตังค์ไว้กินเครปเมืองไทยเหอะ เพราะคนที่นี่กินเครปก็เหมือนกินแซนวิช คือประมาณอาหารกินกันตาย (เรียกว่าเอาทำง่ายไว้ก่อน) ไม่เหมือนเมืองไทยทำแซนวิชทำเครปเป็นของกิน เพราะงั้นทุกอย่างจึงอลังการมาก ใส่สารพัดราคาไม่เกินสามสิบ..เอ๊ะ หรือเกินแล้วหว่า..อ่ะให้เต็มที่ก็ไม่เกินห้าสิบ แต่ที่นี่เครปที่ว่าตกราวห้ายูโรหรือสองร้อยกว่าบาท..


จัดการเครปเสร็จแล้วก็เดินต่อไปเรื่อย ไม่รู้จะไปไหนดี นึกได้ก็หยิบหนังสือนำเที่ยวมาพลิกๆดู..เฮ้อ..เศร้าใจเที่ยวปารีสคนเดียว หันไปทางไหนเขาก็มาเป็นคู่ๆ ไม่่ก็เป็นกลุ่มๆ เที่ยวคนเดียวแบบนี้ไม่สนุกเลย..ว่าแล้วก็คิดถึงที่รัก..คิดไปทำไมมีมาถึงนี่แล้วต้องลุย เราเปิดหนังสือพลิกหาเป้าหมายต่อไป..ย่านช็อปปิ้ง..ท่าทางน่าสนใจเผื่อจะได้ของถูกใจกลับบ้าน ว่าแล้วสาวิตรีก็จับรถไฟไปย่านช็อปปิ้งของที่นี่ (ชื่ออะไรก็ไม่รู้ ไม่จำอีกแล้ว) ไปถึงก็เดินไปเรื่อยเปื่อย ได้ผ้าพันคอผืนสวยมาสองสามผืน ราคาน่าสนใจผืนละหนึ่งยูโรง.เลยซื้อมาซะสามผืน ฮึม..


เราเดินเที่ยวไปเรื่อย ส่วนใหญ่เดินเอาบรรยากาศ เราสังเกตว่าที่นี่มีร้านอาหารดีๆ อยู่ทั่วทุกหัวถนน ทุกตรอกซอกซอย เรียกว่าถ้าหิวข้าวกินตามร้านเหล่านี้หาง่ายและคุณภาพดีกว่ากินตามผับเยอะ แถมผับหลายที่ขายแต่เครื่องดื่มและสแนคที่ไว้กินกับเหล้า..คนที่นี่ท่าทางดื่มกันทั้งวันทั้งคืนไหมเนี่ย..เอ..อาจจะเป็นนักท่องเที่ยวก็ได้ใครจะรู้ เราเดินสำรวจไปเรื่อย เอ๊ะ..ทำไมร้านซูชิที่นี่มันเยอะจัง เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีแต่ซูชิจริงๆ ไม่มีข้าวหน้านู่นนี่นั่นหรืออย่างอื่นให้เลือกอย่างที่อยากกิน ..ไม่รู้ว่ามันฮิตมากหรือว่าคนที่นี่รู้จักแต่ซูชิก็ไม่รู้แฮะ


เดินมาตั้งแต่เช้าจนบ่ายสามโมงครึ่งแล้ว ท้องน่ะไม่หิวแล้วแต่เท้าเดินต่อไม่ไหวแล้ว เราก็เลยตัดสินใจกลับโรงแรมดีกว่า นัดกับเทรฟไว้ตอนห้าโมงเย็น กลับไปนอนเอาแรงรอเทรฟดีกว่า


...
เย็นนี้เทรฟมีเป้าหมายในใจ เทรฟอยากไปดูโบสถ์ที่มีชื่อเสียงของที่นี่ตั้งอยู่บนยอดเนินเขาที่สามารถมองวิวปารีสได้ทั้งเมือง เราแวะไปที่นั่นก่อนค่ำ แล้วก็จะแวะกินข้าวเย็นก่อนกลับโรงแรม โบสถ์นี้นอกจากเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปเดินดูแล้วเขาก็ยังเปิดใช้งานตามปกติ เพราะงั้นเวลาที่เราเดินเข้าไปก็ต้องระวังไม่ทำเสียงดังรบกวนคนที่เขามาโบสถ์ ออกจากโบสถ์แล้วเราก็ไปหาอาหารเย็นกินกันและแน่นอนว่ามันต้องเป็นอาหารฝรั่งเศส อิอิ มื้อเย็นวันนั้น..รสชาติถูกใจมาก แต่เสียดายหิวจัดจนลืมถ่ายรูปมาฝากเลย


วันนี้โม้เท่านี้ก่อนนะจ๊ะ แล้วก็มาเล่าต่อวันหลังนะ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ

รูปภาพ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง TRAVEL / ACTIVITY & EVENTS

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 63 ท่าน