ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

รวมกิจกรรม ความเคลื่อนไหว พาเที่ยว เกมส์

ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:23 pm

เก้าโมง ยี่สิบนาที วันพฤหัสฯที่ 26 พฤศจิกายน 2009
แฟลตเล็กๆ ในบริสตอล


วันนี้วันที่สองแล้วของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นี่ ที่บริสตอล ต้องบอกว่าเป็นการเริ่มต้นแบบงงๆ อย่างที่สุด เรามาถึงที่นี่สี่ทุ่มกว่า ด้วยเกิดเหตุให้ต้องล่าช้าไปซะทุกขั้นตอน ตัั้งแต่ต้องเปลี่ยนรถเมล์ใหม่ เพราะขอบกระจกหน้ารถมันหลุด เขาก็เลยไม่ขับต่อ (ไม่งั้นมีหวังมันอาจหลุดมาทั้งแผ่น) เปลี่ยนรถเมล์เสร็จ ขึ้นรถไฟมา ตอนใกล้ถึงสถานีปลายทางก็มีเหตุให้ต้องช้ากว่ากำหนดอีกเนื่องจากรถไฟวิ่งได้รางเดียว ต้องรอกันประมาณสิบห้านาที เฮ้อ..เล่นเอากว่าจะถึงบ้าน ทั้งเราทั้งเทรฟเข้าขั้นเอ๋อ หมดสภาพไปเลย


เมื่อวานหลังจากนอนเอาแรงแล้ว น่าแปลกที่พากันตื่นตั้งแต่เช้าหกโมง ...วันนี้ตารางเต็มเหยียด เทรฟตัวสินใจลางานทั้งอาทิตย์เพื่อพาเราไปจัดการเรื่องต่างๆ อันได้แก่ เริ่มต้นจากแปดโมงเช้าเรารีบไปซื้ออาหารเช้าแบบด่วนๆกัน เพราะตู้เย็นว่างเปล่า เทรฟเคลียร์ไว้ก่อน ไปเมืองไทย เราแวะไปซื้อขนมปัง ไข่ นม จากเทสโก้ (ก็โลตัสบ้านเรานั่นแหละ แต่ที่นี่เขาเรียกเทสโก้) แล้วก็กลับมาหม่ำข้าวเช้าฉบับด่วน
เทรฟกินแค่ซีเรียลใส่นม พร้อมน้ำส้มหนึ่งแก้ว ถามเราว่าเราจะกินอะไร เราว่า เอาไข่คน แฮม ขนมปัง อ่ะ เทรฟแอบค้อน เพราะว่าไม่ค่อยมีประโยชน์ (เส้นใยน้อยเกินไป) แต่ยังใจดีบอกว่า งั้นเอาไว้กินอาหารสุขภาพดีพรุ่งนี้ก็แล้วกัน เราก็เลยได้หม่ำไข่อย่างมีความสุข


หลังจากนั้นเราก็ออกจากบ้านอีกครั้ง ไปปั๊มกุญแจบ้านให้เรา ซึ่งสำคัญมากแล้วก็ไปซื้อของเข้าบ้านชุดใหญ่ เทรฟพาเราไปดูสถานที่ต่างๆ ในละแวกบ้านด้วย เราซื้อรองเท้าใส่ในบ้าน รองเท้าผ้าใบสำหรับเล่นกีฬา ของพวกนี้ซื้อจากที่นี่จะเข้ากับอากาศมากกว่า (เหลือเสื้อผ้าไว้ซื้อวันหลัง เพราะเวลาไม่พอ) ซื้อของเสร็จก็กลับมาทำสปาเก็ตตี้กินเป็นข้าวกลางวัน (ถูกกว่ากินนอกบ้านมากมายนัก) กินข้าวอิ่ม ก็ได้เวลาออกไปจัดการรอบสอง


เราแวะไปคิงสวู้ด (Kingswood) เป็นการเฉพาะเพื่อซื้อผักกับผลไม้ เทรฟว่ามันถูกกว่าและสดกว่า เราได้หมอนใบใหม่ (สำคัญมาก เพราะเมื่อคืนนอนคอเดี้ยง) ผ้าเช็ดตัวใหม่สำหรับเราสองคนอีกหนึ่งชุด ซื้อของใช้อีกนิดหน่อย แล้วเราก็กลับบ้าน อ่อ ที่นี่เราทำธุระสำคัญมากเรื่องนึงด้วย นั่นก็คือ เพิ่มชื่อเราเข้าไปในบัญชีเงินฝากของเทรฟ (ให้เป็นบัญชีร่วม) ทีนี้เราก็มีตังค์ใช้แล้ว เย้ๆๆๆ เพราะเท่ากับเรากดเงินออกจากบัญชีเงินเดือนเทรฟโดยตรง (เหอๆๆ)


อ้าว นั่นพ่อคุณเอาอาหารระหว่างมื้อมาเสริฟแล้ว (ได้แก่ แซนวิชแฮม หนึ่งคู่ ไรวิต้าทาเนย(เรายังกินมาร์ไมท์ไม่เป็น) แครอทสองแท่ง เซเรอรี่สองแท่ง โยเกิร์ตหนึ่งถ้วย กับชาร้อน ..ว้าว น่ากินจริงๆ) สงสัยต้องไปก่อน


อ่อ เมื่อวานเราเพิ่มชื่อเราในประกันรถแล้ว (รถเกียสีดำคันเล็กๆ น่ารักของเราสองคน), ลงทะเบียนหมอฟันแล้ว วันพรุ่งนี้มีนัดไปหาหมอเพื่อตรวจร่างกาย เพราะพึ่งลงทะเบียนกับหมอที่นี่ ส่วนงานวันนี้ต้องไปรื้อกระเป๋าแล้วเจ้าค่ะ เพราะของเต็มบ้าน ยังไม่ได้ทำอะไรเลย
ไปก่อนน้าแล้วจะมาเมาท์ด้วยใหม่จ้า
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:28 pm

วันศุุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน 2009
เจ็ดโมงครึ่ง เช็คเกอร์คอร์ท หมายเลข 82

วันนี้ตื่นเช้าอีกแล้ว ไม่รู้ทำไมตั้งแต่มาถึงตื่นหกโมงทุกวันเลย เราอาบน้ำแล้วก็ดิ่งมาหน้าคอมฯ จ้องหาจังหวะมาเขียนอีเมล์ตั้งแต่ตีสี แต่ไม่อยากเปิดฮีทเตอร์ให้เปลืองไฟเพราะอยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น ก็เลยกลิ้้งไปกลิ้งมาจนเทรฟตื่นเหมือนกัน


เช้านี้ดาร์ลิ่งทำข้าวเช้าให้กินอีกเช่นเคย แหะ แหะ ก็เทซีเรียลใส่นม แล้วก็ขนมปังหนึ่งแผ่นทาแยม (แค่นี้ก็รักตายแล้ว) ที่แรกเรากะจะกินไข่ดาวกะแฮมด้วย แต่ไม่ไหวอืด (เทรฟแอบดีใจ เราไม่กินไข่ เพราะกินมากแล้วท้องผูก..เทรฟว่างั้น แต่ก็แอบค้อนว่า..เปลี่ยนใจอีกแล้วแม่คุณ)


โปรแกรมวันนี้แน่นเอี๊ยด ตั้งแต่ไปหาหมอ ไปเซ็นสัญญาเช่าบ้านใหม่ ไปออฟฟิศเทรฟ ไปซื้อของ แล้วก็อะไรอีกไม่รู้ เห็นลิสต์เทรฟยาวเป็นหางว่าวเลย


ว่าแล้วก็ขอเมาท์สามีนิ๊ดนึงว่า..พ่อเจ้าประคุณดูแลอาหารการกินดีเหลือเกิน... ตั้งแต่มาถึงนี่ ไปซื้อของไม่รู้กี่รอบ อ้อนขอกินขนมทุกเที่ยว ยังไม่สำเร็จซ๊าาากกกที เทรฟได้แต่บอกว่าจะกินทำไม เดี๋ยวก็กลับไปกินข้าวบ้านแล้ว ..ซื้อช็อคโกแลตหน่อยน้าาา เราอ้อนต่อ..ไม่เอา ที่บ้านมีผลไม้เยอะแยะ แง๊... นี่มันหน้าเทศกาลคริสมาตน้า ช็อคโกแล็ตมีขายทั้งซอย (ของชั้นในห้าง ประมาณเดินเข้าช่องนั้นวางเต็มทั้งซ้ายขวา) มันยั่วยวนนะ ไม่ยอมให้กินซักอันเดียวเลยเหรอ กระซิกๆๆๆ


เมื่อวานอ้อนซื้อสกิตเทลมาได้แพคนึงเพราะมันมีสีเขียวแบบที่ชอบด้วย..เอ่อ สกิตเทลเป็นขนมหวานหน้าตาเม็ดเล็กๆเหมือนเอ็มแอนด์แอ็ม แต่เป็นน้ำตาลเคี้ยวเพลินเลยแหละ..คราวก่อนไอ้โปร่งอ้วนขึ้นก็โทษไอ้นี้ได้เลยเพราะกินวันละซอง จ๊ากก (กว่าจะได้..แทบกราบกราน..นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเทรฟหาซื้อไม่ได้มาก่อน มีหวังไม่ได้กิน..อ่ะนะเขาทำเพื่อสุขภาพเรา)


พูดถึงเรื่องสุขภาพ เมื่อวานดีใจได้ไปตีแบดมินตันกัน เทรฟโทรไปจองคอร์ท (ค่าเช่าเท่าไหร่ยังไม่รู้เลยเนี่ย) พร้อมขอเช่าไม้และลูก พอได้เวลาเราก็ไปหวดไม้กัน แต่ขอโทษค่ะ..แก่ๆ สองคนหงิกกันอยู่ในสนามเนื่องจากไม่ได้ออกกำลังกายกันมาหลายอาทิตย์ เล่นเอาเกือบถอดใจ คิดว่าจะเล่นไม่ครบเวลาหนึ่งชั่วโมงซะแล้ว แต่ก็ทำสำเร็จ ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ เลยรู้เลยว่าร่างกายเขาขาดความยืดหยุ่นอย่างแรง ต้องหาเวลามาออกกำลังกายบ่อยๆ ซะแล้น..


ว้า ต้องไปแล้ว เพราะมีเรื่องต้องทำเยอะแยะ เทรฟรอให้เครื่องอยู่ ไว้มาเม้าท์ใหม่นะจ๊ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:32 pm

ห้าโมงครึ่ง วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน วันเดิม แต่เพิ่มเติมเหตุการณ์


หลังจากไปผจญภัยมาทั้งวันก็ถึงเวลามีเรื่องใหม่มาอัพเดทให้ฟัง


หลังจากอิ่มข้าวเช้าแล้ว เราก็ออกไปตามตารางนัดที่เริ่มจากไปฟิลตัน (Filton) ย่าน (หนึ่งใน)ที่ทำงานของเทรฟ เพื่อไปลงทะเบียนร้านแว่น (ค่ะ ที่นี่ต้องลงทะเบียนก่อน) แล้วก็นัดวันมาวัดสาย (ค่ะ ถูกแล้ว ต้องนัดล่วงหน้าเช่นกัน..ชีวิตที่นี่วุ่นวายเช่นนี้แล) แล้วเราก็แวะส่งการ์ดวันเกิดให้ป๊ะป๋าผู้น่ารักของหนูโปร่ง แล้วก็แวะไปหากาแฟกินกันเป็นมื้อสาย เพราะมื้อเช้าย่อยหมดแล้ว


เทรฟตัดสินใจชวนไปนั่งในร้านอาหารเล็กๆ (ประมาณฟูดคอร์ท)ในห้างเซนส์เบอร์รี่ (ห้างใหญ่เหมือนโลตัส) เทรฟว่ากินแล้วก็จะได้แวะซื้อของไปในคราวเดียว เราสั่งกาแฟและแซนวิชคนละคู่ จากนั้นก็ไปซื้อของอันได้แก่ ผลไม้ ขนมปัง และเครื่องชั่งน้ำหนัก (อันหลังนี่ต้องซื้อเพราะโปร่งมีแผนลดน้ำหนักเป็นการด่วน)


ออกจากห้างมา เทรฟต้องขับรถต่อไปที่เอเจนท์แฟลตที่เช่าอยู่ เพื่อเซ็นสัญญาฉบับใหม่ที่มีชื่อเราอยู่ด้วย (ก็เปลี่ยนผู้เช่าจากคนเดียวเป็นสองคน..ที่นี่ ไม่ใช่ใครนึกจะเข้ามาอยู่ก็มา ทุกอย่างต้องมีการแจ้งล่วงหน้า หรือแม้แต่ไม่อยู่บ้านนานตั้งแต่สองอาทิตย์ขึ้นไปก็ต้องแจ้ง เพราะการทิ้งบ้านไว้ไม่มีใครดูแลอันตราย เช่นกรณีไฟไหม้ หรือถ้าหน้าหนาวทิ้้งไว้ไม่เปิดเครื่องทำความร้อนแล้วท่อน้ำแข็ง เราต้องจ่ายค่าซ่อม เป็นต้น) เรานั่งอ่านเอกสารทุกหน้า (ซึ่งใช้เวลาไม่น้อย เพราะทั้งเป็นภาษาอังกฤษและภาษากฎหมาย แต่หลักๆ ที่อ่านช้าเพราะต้องการอ่านเอาเข้าใจ ไม่ใช่ทำทีอ่านไปอย่างนั้นเอง) เพราะต้องเซ็นท้ายสัญญาทุกหน้ากระดาษ ฉะนั้นก่อนเซ็นอะไรก็ควรรู้ว่าเรากำลังเซ็นอะไรถูกไหมคะ


เราออกจากเอเจนท์มา ต่อไปก็ไปร้านหมอ (ร้านหมอที่นี่ไม่ได้มีเยอะแยะเกลื่อนกราดไปทั่วแบบบ้านเรา อย่างดีก็มีแค่หนึ่งหรือสองแห่งในหนึ่งย่าน อยากรู้ว่าอยู่ตรงไหนในย่านตัวเองก็เข้าอินเตอร์เน็ต..ทุกอย่างที่นี่ออนไลน์ค่ะ) เราไปถึงร้านหมอ (ที่นี่เรียกว่า surgery) ก่อนเวลาก็เลยนั่งรอด้วยการอ่านนิตยสาร หนังสือพิมพ์ที่ซื้อมา


ประเด็นที่มาหาหมอวันนี้ก็คือเรื่อง "การคุมกำเนิด" โดยตรง
เรากับเทรฟตั้งใจจะยังไม่มีลูกไปอย่างน้อยในอีกสามปีข้างหน้านี้ เพราะฉะนั้นแทนการกินยาที่แสนจะยุ่งยาก (ขี้เกียจจำ) เราก็เลยไปปรึกษาหมอซะเลยว่าควรทำเช่นไร เหตุผลที่ไม่ทำเรื่องนี้ตั้งแต่เมืองไทยเพราะเราชอบการให้คำปรึกษาของเจ้าหน้าที่วิชาชีพที่นี่ เขาจะอธิบายจนเราสิ้นสงสัย หรือหากเขาไม่รู้เขาก็จะให้เอกสารเรามาอ่าน
เราดีใจที่ว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ของที่เขาอธิบาย (แม้ว่าจะเป็นศัพท์เฉพาะ) เราเข้าใจหมด และเขาก็พูดกับเราโดยตรง เพราะรู้ว่าเราเข้าใจ ไม่ใช่พูดผ่านเทรฟแล้วให้เทรฟอธิบายเป็นภาษาง่ายๆ อีกครั้ง เราถามหมอ (จริงๆ พยาบาลวิชาชีพ) ว่าแล้วเรื่องเลือดเรากับเทรฟไม่เข้ากันล่ะ จะมีปัญหาในการมีลูกไหม เขาว่าไม่มีปัญหา แต่จะมีถ้าไม่บอกผดุงครรภ์ตอนท้อง เพราะเขามียาฉีดกันเลือดตกตะกอน ซึ่งเรื่องนี้เราภูมิใจมากที่หยิบยกขึ้นมาถาม เพราะเป็นเรื่องที่เทรฟไม่เคยรู้เลย (อิอิ ยากมากที่สามีดิฉันจะไม่รู้ซักเรื่อง..อ้อ ยกเว้นเรื่องต้นไม้ อันนี้เขาก็ไม่รู้จริงๆ) เราตกลงซักถามจนสิ้นสงสัย ในที่สุดเราก็จากมาพร้อมกับที่เราฉีดยาคุมกำเนิด ซึ่งจะต้องมาฉีดทุกสามเดือน และเขาแนะนำว่าให้พักทุกสามปี เพื่อให้ร่างกายกลับมามีประจำเดือนตามปกติอีก ส่วนหากพร้อมจะมีลูกก่อนหน้าสามปี ก็ให้มาพบแพทย์เพื่อวางแผนกันอีกที..และแน่นอน การบริการทั้งหมด ไม่เสียตังค์ (เพราะมันรวมไปในภาษีมหาโหดที่จ่ายไปก่อนแล้ว อิอิ)


จากนั้นเราก็กลับมาทำข้าวกลางวันกินกันที่บ้าน เราผัดกระเพราะหมูให้เทรฟกิน กินฉุนใช้ได้ รสชาติ และข้าวที่หุง(แบบเช็ดน้ำ) ก็ไม่แฉะแบบครั้งแรก..แม่ขา..จริงๆ มันต้องหุงยังไงเนี่ย??


หลังอิ่มข้าว เราก็ทิ้งทุกอย่างไว้ในครัวเพราะต้องรีบไปออฟฟิศเทรฟ (อีกแห่ง) เป็นออฟฟิศสำนักงานใหญ่ เพื่อยื่นเอกสารของเทรฟ แล้วเทรฟก็เลยถือโอกาสพาเราไปเจอเพื่อนร่วมงานบางส่วนที่อยู่วันนี้ด้วย (วันนี้วันศุกร์ บางส่วนไม่เข้า บางส่วนกลับเร็ว) เทรฟเจอใครก็เมาท์เรื่องงานมีเรายืนทำหน้าไม่ถูกอยู่ข้างๆ แต่อย่างน้อยที่ดีใจที่สุดอย่างนึงก็คือ เราไม่มีปัญหาเรื่องการฟังเลย เราฟังทุกคน ทุกสำเนียงเข้าใจอย่างไม่มีปัญหา และสำเนียงเราก็ไม่ได้สร้างความกระอักกระอ่วนให้ใคร (เนื่องจากเขาฟังไม่ออก) เฮ้อ..แอบกลุ้มใจล่วงหน้าไปตั้งนาน


หลังจากออกจากออฟฟิศเทรฟแล้ว เรารู้สึกกับตัวเองสองสามอย่างถึงความแตกต่างของชีวิตเราที่นี่ (ภาคสอง) ว่า
หนึ่ง เราเปลี่ยนคนในสังคมของเราอย่างสิ้นเชิง เพราะเทรฟทำงานออฟฟิศที่ถือว่ามีหน้าที่การงานดี ทุกคนในที่ทำงานก็อีกสังคมนึง มิใช่หญิงไทยใจกล้าที่แต่งงานกับฝรั่งแบบชนิดที่ภาษาตัวเองก็ยังไม่แข็งแรง หรือคนทำงานกินเงินรายชั่วโมงอย่างที่เราเจอที่ผ่านมา


สอง ชีวิตเราที่นี่ (แบรดลี่ สโตค) เป็นอีกรูปแบบนึงไปแล้ว เราไม่ต้องกระเบียดกระเสียนเช่นที่ผ่านมา การกินข้าวนอกบ้านเป็นเรื่องทำได้ครั้งคราว โดยไม่ต้องนับเงินในกระเป๋าก่อน หรือกังวลว่ากินแล้วจะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน การเดินทางก็เปลี่ยนมาจำเลขทางหลวงมากว่าสายรถเมล์ และที่สำคัญคือ เราเริ่มเห็นความจำเป็นของการขับรถมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะที่นี่ (ย่านนี้) รถเมล์ไม่ได้พลุกพล่านไปหมด ทุกคนขับรถ และมันก็สะดวกกว่าเมื่อขับรถด้วย เฮ้อ..จะต้องใช้เวลากี่วันกว่าจะจำทางได้หนอ..


อืม..เมาท์มายาวแล้ว ชักเริ่มหิว ขอตัวไปทำอาหารเย็นกินก่อนดีกว่า ที่รักคงเริ่มหิวแล้วด้วย


ไปนะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:33 pm

หวัดดีค่ะทุกคน..


แปดโมงครึ่ง วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน 2009 ในแฟลตเลขที่ 82


เมื่อวานต้องบอกว่าเป็นวันที่ยุ่งและมีประสิทธิภาพมากวันนึงเลยทีเดียว เรามีนัดกับพี่แอ๋วว่าจะไปเยี่ยมพี่เขาพร้อมของฝากถุงใหญ่ อันได้แก่ คู่สร้างคู่สม (ที่สั่งสมมา) ขายหัวเราะ บุหรี่ และยางรัดผม ทีแรกเรามีนัดกินข้าวเที่ยงกัน แล้วเราก็สั่งไส้อั่วเจ้าอร่อยไว้ แต่การณ์กลับกลายเป็นว่าพี่แอ๋วต้องไปทำงานล่วงเวลา เลยไม่มีเวลาทำกับข้าว ไส้อั่วก็ยังไม่ได้ มะเป็นไร เรานั่งคุยกันแป๊บนึงแล้วก็หิ้วท้องหิวๆ ของเราสองคนไปหาข้าวกิน ..ข้าวจริงๆ ซะด้วย เพราะเทรฟอยากกินอาหารไทย เลยขับรถไปเมืองใกล้ๆ ที่แรกเราเกรงใจเทรฟต้องขับรถ แต่เทรฟว่ามีเวลาเหลือเฟือกว่าจะถึงอีกนัดนึงตอนหกโมงเย็น เราก็เลยแล่นไปกันเลย...อ่อ..มีเรื่องเซอร์ไพรส์เล็กน้อยเมื่อพี่แอ๋วเอาตังค์มาจ่ายคืนค่าของที่เคยฝากซื้อ แถมให้เกินเป็นค่าส่งไปรษณีย์คราวก่อนมาด้วยตั้ง 60 ปอนด์ วู้... เริ่ด จริงๆ


เราไปกินข้าวร้านไทยกัน แล้วก็ถามไถ่ร้านขายของเอเชียแถวๆนั้น เผื่อจะไปเดินช็อปปิ้งฆ่าเวลา แล้วเราก็ได้ชื่อร้านที่หลายคนพูดถึงในเรดดิ้ง (Reading) กินอิ่มแล้วเราก็ดิ่งไปกันเลย ไปถึงเราตะลึงมากเพราะมันเป็นเหมือนโกดังขนาดย่อมๆ ไม่ใช่แค่ร้านเล็กๆ เราตื่นตาตื่นใจกันมาก ทีแรกเทรฟลังเลเพราะคิดว่าเขารับเฉพาะร้านค้าที่ประกอบธุรกิจ แต่เรายืนยันว่าไม่น่าจะใช่ ไม่งั้นเพื่อนๆ พี่แอ๋วจะมาซื้อกันได้ยังไง แล้วเราก็พบความจริงว่า แค่เรากรอกใบสมัครตรงนั้น แล้วเราก็ไปซื้อของได้เลย


เราซื้อเครื่องปรุงหลายอย่างที่อยากกิน เช่นหน่อไม้ดอง หน่อไม้แกงลาวใส่ใบย่านาง เครื่องเทศหลายอย่างที่จะเอาตำน้ำพริกแกง น้ำจิ้มสุกี้ ที่สำคัญคือ เราได้ครกและเขียงจากที่นี่พร้อมกันทีเดียว เทรฟดีใจมากๆๆ เพราะไม่ต้องเสียเวลาไปที่อื่นๆ เสียดายแต่ว่าเราซื้อปลาดุกกลับมาไม่ได้เพราะต้องไปหาเพื่อนเทรฟต่อ เกรงว่ามันจะเน่าซะก่อน ไม่งั้น ได้ทำผัดเผ็ดปลาดุกกินแน่ๆ ฮึ่มๆๆๆ


ช็อปปิ้งเสร็จแล้วก็แวะไปหาเพื่อนเก่าเทรฟสมัยทำงานด้วยกันที่ฮอลแลนด์ เขาอยู่บ้านในละแวกไม่ไกลบ้านพี่แอ๋ว เบ็ตตี้กับจิมน่ารักมากๆ ต้องบอกว่าเบ็ตตี้ (เราตกลงเรียกเธอว่า CC ซีซี่ ตามชื่อเล่นจริงๆของเธอ) เป็นเพื่อนผู้หญิงคนแรกของเราตั้งแต่มาถึงที่นี่ เราคุยกันหนุกหนานมาก ซีซี่มีหมาไซบีเรียนฮัสกี่ตัวหญ่ายยยมาก ชื่อโรซี่ น่ารักสุดๆ เขาสองคนทำกับข้าว (อาหารไทย)ให้กิน เป็นกระเพราหมูใส่มะเขือยาว กับแกงเนื้อที่หน้าตาเหมือนสตูหรือมัสมั่น ก็พอกินได้ แม้จะไม่เผ็ดเท่าต้นตำรับ เพราะเราว่าสองคนนั้นคงทานไม่ได้ ที่ขำก็คือซีซี่รอให้เราไปถึงก่อนเพื่อจะถามว่า จะหุงข้าวเหนียวต้องทำยังไง แต่กลายเป็นว่า เราตอบว่า เราไม่รู้ต้องถามเทรฟ เพราะเทรฟชอบกินและทำเป็น ซีซี่ทำหน้าไม่เชื่อ (ฮา)


เราออกจากบ้านเพื่อนกันสามทุ่มเพราะต้องใช้เวลาขับรถกลับบ้านสองชั่วโมง (เทรฟว่าไม่ไกล พอไปหากันบ่อยๆ ได้)


ต้องบอกว่าเป็นวันที่เราสองคนแฮปปี้มากๆ เพราะได้เจอเพื่อนและที่สำคัญได้ของกินที่อยากได้ อิอิ


ไปล่ะ เทรฟรอใช้เครื่อง (อีกแล้ว)
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:34 pm

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2009 สิบเอ็ดโมงครึ่ง


เดี้ยงครับ เดี้ยง อยู่ดีไม่ว่าดี เป็นหวัดซะงั้น เมื่อวานยังวางแผนมีเรื่องต้องทำมากมาย พอโปร่งเดี้ยงที แผนกว่าขึ้นเป็นอันว่าต้องยกยอดไปก่อน
---
เมื่อวานนี้เราได้หัดขับรถในอังกฤษเป็นครั้งแรก จริงๆ ไอ้เรื่องขับรถน่ะมันไม่ได้น่ากลัวอะไรหรอก เพียงแต่รถคันนี้ไม่เคยขับ ไม่เคยมือ แถมคนบอกทางข้างๆ น่ะมันเป็นภาษาอังกฤษนะ มันเหมือนสมองต้องทำงานสองชั้น คือทั้งเรียกเอาทักษะการขับรถเดิม (ที่ก็ไม่ค่อยจะได้เรื่องอยู่แล้ว) ออกมากับต้องแปลว่า ไอ้ที่เทรฟพูดน่ะมันหมายถึงอะไร ผลลัพธ์ก็คือเทรฟว่าเราต้องฝึกใช้เบรคมือให้มากกว่านี้ เพราะการเลี้ยงครัชคู่กับเหยียบคันเร่งเป็นเรื่องไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง (อ้าว ก็ครูคนแรกสอนมาหยั่งงี้นี่หว่า) เราก็เลยขอขับแค่ขาไป ขากลับเทรฟขับเองละกัน ยังปอดๆ ก็แหม..ลำพังขับรถก็แย่แล้ว นี่เครื่องเคราแต่งองค์ทรงเครื่องไปตั้งหลายชั้นจนตัวกลม แถมมือก็ยังมีถุงมืออีก จะให้ปฏิกิริยา (เฮ้ย คำนี้มันเขียนไงวะ) มันตอบสนองยังไง..เอาเป็นว่า เดี๋ยวขอรวบรวมกำลังใจใหม่ แล้วค่อยว่ากัน แฮ่..


เหตุที่ขับรถออกไปกันเมื่อวาน ก็เพื่อไปซื้อครัวซองค์ที่พึ่งอบเสร็จใหม่ๆ มากินเป็นข้าวเช้ากัน แต่กว่าจะได้กินก็ปาเข้าไปสิบเอ็ดโมง กลับมาถึงบ้านแล้ว เราก็ทำความสะอาดบ้านให้วุ่น (ก็มันไม่รู้จะทำไร เพราะเทรฟทำงานหน้าคอมฯอยู่) ทำมันทุกห้อง ถูมันทุกซอก ประมาณว่านานๆ ทำที แฮ่..


พอถูบ้านเสร็จเท่านั้น เทรฟถามว่าจะออกไปเดินเล่นในพาร์คลองรองเท้าบู๊ตคู่ใหม่ไหม (ตอนนี้มันแฉะไปทั่วเลยต้องใส่รองเท้าบู๊ต) ทีแรกก็ยังสนอยู่ แต่พอกินข้าวกลางวันเสร็จ มันรู้สึกแปลกๆ เราเลยบอกว่า ไม่ไปแล้ว ท่าทางเหมือนจะเป็นหวัดอ่ะ ทั้งที่ๆ มีแค่อาการครั่นเนื้อครั่นตัวเท่านั้นเองนะ เทรฟว่าถ้างั้นก็ไปนอนพักเหอะ ผลก็คือ เราเข้าไปนอนพักตั้งแต่บ่ายสองจนถึงหกโมงเย็น จากเดิมที่ตกลงกันว่าจะทำยำแหนมสดให้เทรฟกิน กลายเป็นว่าเทรฟต้องมาทำสปาเก็ตตี้ให้กิน เพราะง่ายและเร็ว (เขาเข้าไปดูเราในห้องนอนหลายที คงเห็นท่าเราไม่ลุกแน่ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนเมนู) เรากินข้าวเสร็จ แปรงฟันแล้วก็กลับเข้าไปนอนอีก เพราะรู้สึกแย่ลงกว่าเดิม เหมือนจะมีไข้ เทรฟออกแนวงงๆ เพราะไม่คิดว่าเราจะทรุดเร็วขนาดนี้ เราอัดยาทุกสี่ชั่วโมง ทำตัวให้อุ่นที่สุด..ก็อ่ะนะ เมื่อวานอยู่ดีๆ อากาศก็เย็นลงอีกเยอะมากๆๆ เย็นยะเยือกชนิดฮีตเตอร์แทบเอาไม่อยู่ เราใส่ทั้งหมวก ผ้าพันคอนอน เรื่องเสื้อผ้าใส่ไปตั้งสามชั้นได้ ยังไงก็ได้ต้องให้หายเร็วที่สุด เราไม่ชอบเป็นหวัดนานๆ มันทรมาน


เช้านี้เทรฟต้องกลับไปทำงานแล้ว เราตื่นมาล้างหน้า ทีแรกว่าจะลุกขึ้นมาทำอะไรตามปกติ แต่เทรฟไล่ให้เราไปนอน บอกว่าจะกินข้าวเช้าบนเตียงไหม จะเอามาให้ เราว่าไม่อ่ะ เดี๋ยวเราหาเองก็ได้ เทรฟไปทำงานเหอะ เทรฟเดินเข้ามาดูเราตั้งสามสี่รอบกว่าจะออกไปทำงาน เอาน้ำเอายามาวางไว้ให้หัวโต๊ะแล้วก็ออกไป สั่งเสียอย่างดีว่ามีอะไรให้อีเมล์ไปเพราะจะนั่งอยู่หน้าจอตลอด (แต่แชทไม่ได้ และไม่ควรโทรไป...เพราะมันเป็นเวลางานอ่ะนะ ไม่ควรรับโทรศัพท์เรื่องส่วนตัว..มารยาทอันนี้เป็นที่รู้กัน)


เมื่อกี้พึ่งอีเมล์มาบอกว่าจะกลับมากินข้าวกลางวันที่บ้านด้วย น่ารักจัง :)


ข้างนอกแดดออกแล้ว ใจอยากออกไปเดินเล่น แต่อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจแดดบ้านนี้เมืองนี้ เพราะมันไม่ได้อุ่นอย่างที่คิด..สงสัยคงได้แต่ขดอยู่ในที่นอนจนกว่าจะแน่ใจว่า หายแล้วร้อยเปอร์เซ็นต์นั่นแหละ..
อืม นั่งนานแล้ว หนีไปเอนหลังดีกว่า ไปนะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:35 pm

วันพุธ(ที่เท่าไหร่แล้วเนี่ย) 2 ธันวาคม 2009 ..เหวยยย นี่มันวันพุธแล้วเหรอเนี่ย ยังนึกว่าวันอังคารอยู่เลยนะเนี่ย?? โห..มึนเอาการ


วันนี้ตื่นมาหน้าตาสดใส อาการก็เกือบครบสามสิบสองร้อยเปอร์เซ็นต์ อากาศข้างนอกก็ดูอบอุ่นขึ้นน่ารัก น่าเอ็นดู (ไม่เหมือนเมื่อวานน้ำแข็งพราวมาเชียว มองไปทางไหนก็ขาวพรึ่ดไปหมด ออกอาการเซ็งไม่มีอารมณ์แม้แต่จะเขียนไดอารี่) เมื่อวานอาการไม่ค่อยดี ยังปวดหัวและหนาวสั่น (ก็ไม่แปลก ถ้าอากาศข้างนอกเย็นเยือกขนาดนั้น เรียกว่าฮีตเตอร์เกือบเอาไม่อยู่กันเลยทีเดียว) ไม่นึกอยากทำอะไรซักอย่าง ยังดีมีกะใจต้มข้าวต้มหมูไว้เลี้ยงตัวเองหม้อย่อมๆ หิวเมื่อไหร่ก็ไปตักมากินพอทำเนา ...พอเทรฟไม่อยู่ ก็ออกอาการภาวะโภชนาการต่ำเชียว เรียกว่ากลับคืนสู่นิสัยเดิมคือเน้นเนื้อ ไม่เน้นผัก แฮ่..


นั่งฝืนตัวเองหาข้อมูลบ้านอยู่สักพัก (มีไอ้อรนั่งด่าผ่านออนไลน์มาด้วย เอากะมันสิ..คอยแต่เร่งให้รีบๆ ทำ ไม่รู้เหรอว่าคนไม่สบายยยย เอิ๊ก มันมีสวนมาว่า ข้ออ้าง..ก็จริงของมัน) ตกบ่ายไปแล้ว เราไม่ได้ทำอะไรเลย อาการปวดหัวยังอยู่..สงสัยต้องพึ่งยาอีก เฮ้อ เป็นหวัดรอบนี้ กินยากันจนเบื่อ ปกติเรามีเล็มซิบ ยาคู่กาย เป็นเมื่อไหร่เป็นคว้ามาชงเข้าปาก หนนี้กินกันจนเอียน และรู้สึกคอขม ปากเปื่อยเพราะยาไปแล้ว เพราะทั้งกินทั้งอม (สเต็ปซิล) ส่วนเทรฟจากที่ว่าดีๆ ขึ้นเมื่อวันก่อน เมื่อวานก็มาทรุดลงอีกอย่างมากมาย ทั้งตัวร้อน ไอ ให้วุ่นไปหมด เราไม่รู้จะทำยังไง ไล่ให้เทรฟไปหายาแก้ไอมาจิบ บอกว่าแบบพาลๆ ด้วยว่า อย่าเอาหวัดมาติดแล้วนะ ไม่อยากเป็นแล้ว จะออกไปไหนก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่ได้อย่างใจ ได้แต่หมกตัวอยู่ในบ้าน เซ็งจะตาย..เทรฟหน้าจ๋อย ได้แต่ขอโทษ (ทั้งๆที่ไม่ได้เป็นความผิดเขา และไม่ได้เจตนาให้เกิด ตรูหนอตรู พาลไปทั่ว)


มื้อเย็นเราเห็นเทรฟเดี้ยงๆ ก็เลยยังคงผูกขาดการทำมื้อเย็นเป็นอาหารไทยให้เขาทาน อ้างว่า เดี๋ยวกระเพราที่ซื้อมาจะเน่าซะก่อน ก็เลยทำสปาเก็ตตี้กระเพราหมู อร่อยเหลือหลาย จนตัวเองยังตกใจ แถมกะปริมาณหมูผิด เลยยังมีเหลือไว้พอกินกลางวันวันนี้ เราพยายามจะกินข้าวให้น้อยลง เทรฟว่าข้าวขาวเส้นใยแทบไม่มี กินมากก็มีแต่แป้ง ไม่อึ อ่ะนะ ปัญหาของข้าเจ้าเลยทีเดียว ก็เลยกะว่ากลางวันนี้ ก็กระเพราะหมู ขนมปังโฮลวีทละกัน (เช้านี้แอบปันใจจากซีเรียลใส่นม มาใส่โยเกิร์ตแอคทีเวียรสธรรมชาติแทน เลยรู้ว่า โยเกิร์ตอันนี้ที่บ้านเรามันไม่ธรรมชาติจริงนี่หว่า เพราะตอนกินในเมืองไทยมันหวาน แต่ที่นี่ รสมันโยเกิ๊ด โยเกิด ก็แปลว่าเปรี้ยว แบบไม่หวานเลยอ่ะ..จำไว้นะอร..รสธรรมชาติของแอคทีเวียมันไม่ธรรมชาติจริงร้อยเปอร์เซนต์ เพราะมันใส่น้ำตาล...ฉลากหลอกลวงอีกตามเคย..ประเทศไทย)


วันนี้ตั้งหลักได้แล้ว คงมีงานให้ทำอีกเยอะแยะหน้าคอมฯนี่แหละ ทั้้งรีเสริชเรื่องพื้นที่หาบ้านและข้อมูลอีกหลากหลาย เทรฟก็แอบทวงถาม เรายังไม่ได้ตั้งหลักเลย เฮ้อ..คนเราพอป่วยแล้วมันไร้อารมณ์ทำงานได้เพียงนี้เลยเหรอ?? เมื่อวานอยู่บ้านดูทีวีทั้งวัน ขนาดว่าเลือกเอาที่มันมีสาระ ยังรู้สึกเบื่อ แสดงว่าอาการหนักจริง แอบมองออกไปนอกหน้าตาตาปริบๆๆ อยากออกไปเดินเล่น ฮ่าฮ่า อย่าหวัง เดี้ยงกลับมาจะไม่คุ้มกัน ผลจากการบ่นกับเทรฟเมื่อวาน วันนี้สวามีเลยมีขอเสนอว่า ถ้าหนีงานกลับมาตอนเที่ยงได้จะพาไปหางานทำที่เทสโก้ใกล้บ้าน (เย้) แล้วก็จะพาลทำงานต่อที่บ้านนี่แหละ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องดูหน้างานวันนี้ก่อน แล้วจะโทรบอก ..ก็รอลุ้นกันไป


เมื่อคืนเทรฟยังคนมีไข้ต่ำและไอไม่หยุด เราเป็นห่วงกลัวเขาไม่ได้นอน เห็นไม่ได้ทีก็เลยลุกขึ้นมาหาน้ำมะนาวใส่เกลือพอให้หายระคายคอ (หวังว่าจะพอช่วยให้ทุเลา) ส่งให้เทรฟกินบอกว่ากินทีเดียวหมดเลยนะเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือรสจะบาดคอหน่อย พ่อคุณยังไม่วาย..แล้วไหนเตกีล่าล่ะ..ซะงั้น..ขนาดป่วยยังไม่วายมีอารมณ์ปล่อยมุข เฮ้อ.. หลังจากนั้นก็ยังไอต่ออีกเป็นพัก ๆ (อ้าว มะนาวไม่ช่วยอะไร..หมดปัญญาแล้ววุ้ย) วันนี้เลยนึกอยากเดินไปซื้อยาละลายเสมหะให้กินซะให้รู้แล้วรู้รอด เทรฟเองก็งงตัวเองว่าไม่เคยเป็นหวัดหนักขนาดนี้มานานหลายปี เราว่า ก็ถ้าไม่เป็นเพราะพึ่งกลับมาจากเมืองไทยก็คงไม่หนักขนาดนี้ แหม่..จากอุณหภูมิเกือบสี่สิบตอนกลางวัน มาเหลือเลขตัวเดียวตอนกลางวันและติดลบตลอดช่วงกลางคืน (และนี่ได้ข่าวว่า หิมะกำลังจะมาเยือนในวันพรุ่งนี้) ใครที่ไหนไม่ป่วยก็เก่งไปล่ะ


ว่าไป เทรฟก็ดีใจหาย ป่วยๆ อย่างนี้ยังไม่วายทำหน้าทำตาทะเล้นใส่เราตลอดเวลา เราก็บ่นก็โวยตามวิสัยขี้โวยวายของเรา เขาก็ท๊น ทน วันก่อนว่าเขาซะเขาจ๋อยไปเลย..เขาก็นั่งขอโทษเป็นการใหญ่ แบบทั้งยังงงๆว่า แล้วจะให้ตรูทำไงฟะ?? สรุปคือ ผิดที่ฉันเองนี่แหละ..ว่าแล้วไปดีกว่า ยิ่งเมาท์ยิ่งเข้าตัวเว้ยยย
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:36 pm

วันที่ 4 ธันวาคม 2009
เกือบเก้าโมงเช้าแล้ว ที่แฟลตในแบรดลี่ สโตค


อืม...วันนี้มีเรื่องต้องทำยาวเป็นหางว่าว เมื่อวานไม่มีอะไรจะเขียนเพราะไม่ค่อยมีความคืบหน้าใดในชีวิต นอกจากหวัดที่เป็นๆ หายๆ กันอยู่สองคน


เมื่อวันก่อนหลังจากบ่นเบื่อให้เทรฟฟัง ทั้งเบื่อเป็นหวัด และเบื่อไม่มีอะไรทำ (เราไม่ใช่พวกชอบดูทีวีเท่าไหร่นัก) เทรฟก็เลยสั่งการบ้านซะเลย


ก็นะ..ในเมื่อมีแผนจะซื้อบ้านในเร็ววัน (ก่อนราคามันจะขึ้น) ฉะนั้นเมื่อเทรฟไม่ว่างทำข้อมูล โปร่งนั่นแหละที่ต้องเป็นคนทำ หลังจากลากเทรฟมานั่งคุยคอนเซ็ปท์พื้นฐานว่าเราจะเอายังไง ข้อมูลประมาณไหนที่เราต้องใช้ประกอบการตัดสินใจ เทรฟก็เริ่มต้นด้วยการกางแผนที่ทันที่ ขีดเส้นให้รู้ว่านี่คือพื้นที่ที่เราต้องการจะมองหาบ้านจากนั้น ก็มีโจทย์น่ารักน่าชังมาให้สองข้อ นั่นคือ
หนึ่ง ราคาบ้านโดยเฉลี่ยในแต่ละพื้นที่ย่อย (town-ทาวน์)
สอง จำนวนบ้านที่มีอยู่ในตลาดในแต่ละพื้นที่ในงบประมาณที่ตั้งไว้


อืม ฟังดูง่ายนะ แต่สาวิตรีใช้เวลาทั้งวันเลยค่ะ ทั้งหมดโดยประมาณ 13 ชั่่วโมง เล่นเอามึนไปเลย นั่งจ้องหน้าจอนานซะขนาดนั้น ตกเย็นพอที่รักกลับมา เรายังทำงานไม่เสร็จดี ใจก็อยากไปดูแลเขา ใจก็ห่วงงาน ก็เลยวิ่งไปวิ่งมา จนเทรฟนั่งลงเปิดคอมฯ นั่นแหละถึงได้รู้ว่าเขาก็หอบงานมาทำที่บ้านเหมือนกัน เราก็..ฮ่าฮ่า สบายไปต่างคนต่างทำงานแล้วกัน


เทรฟทำงานได้ซักพักก็ไปทำข้าวเย็น อันได้แก บล็อกโคลี่ราดครีมซอส กับมันบด อาหารไฟเบอร์จริงๆเลย
เราก็รีบๆกินทั้งที่กลัวมันเย็นแล้วก็ไม่อยากให้มันแหยะๆ อยู่ในปากนาน (ก็แหม ผักทั้งนัั้น) เทรฟหันมาบอก "นี่ แม่คุณ ไม่เคยบอกเหรอ ว่าให้เคี้ยวให้ครบยี่สิบครั้งก่อนแล้วถึงกลืน" ตึง! เหมือนโดนตีแสกหน้า เอ๊ะ นี่เขาเรียก "พ่อแม่ไม่สั่งสอน" แบบในภาษาไทยไหมเนี่ย (ฮา) อะนะ ขำๆ อย่าคิดมาก


กินข้าวเสร็จแล้ว พอเทรฟจัดการอะไรต่อมิอะไรอีกนิดหน่อย เราก็มานั่งถกกันเรื่องข้อมูลเบื้องต้นที่เราได้มาว่าจะเอายังไงกันต่อ ซึ่งเทรฟก็ไล่มายืดยาว แต่เผอิญว่าเวลานั้นเราง่วงเหลือหลาย พยายามจดทุกอย่างไว้ เผื่อเช้ามาจะระลึกชาติ (ความจำ)ได้บ้าง


เมื่อเช้าก่อนเทรฟไปทำงานก็ฝากฝังให้ช่วยห่อของขวัญคริสตมาสบางส่วนที่ต้องส่งไปรษณีย์ไปก่อนให้ด้วย เพราะต้องรีบส่งไม่งั้นเดี๋ยวถึงไม่ทันเทศกาล (ไปรษณีย์ที่นี่ยิ่งขยันประท้วงกันอยู่)


บ่ายนี้มีข่าวดี เพราะเทรฟว่าจะพยายามกลับบ้านเร็ว (เพราะเป็นวันศุกร์ ถ้าคนอื่นหนีกลับเร็ว เทรฟก็จะหนีด้วย อิอิ) แล้วจะพาไปช็อปปิ้ง เย้
หนนี้จะได้เป็นช็อปปิ้งจริงๆ ซะที เพราะเราอยากไปซื้อเสื้อผ้าใหม่ ที่มีอยู่มีแต่สีดำเพราะเป็นเครื่องแบบที่ใช้ทำงานคราวก่อน เราขอเทรฟไปดูหนังด้วย (ไม่รู้จะทันไหม) ส่วนเทรฟก็บอก เดี๋ยวพาไปกินข้าวนอกบ้านด้วย ซึ่งถ้าเทรฟได้กลับถึงบ้านก่อนบ่ายสามจริง เทรฟจะให้เราเป็นคนขับรถไปที่ช็อปปิ้ง จะได้เป็นการฝึกขับรถไปในตัว เพียงแต่หนนี้ไปไกลกว่าเดิม..ดังนั้น ช่วงระหว่างวันนี้เลยมีเรื่องต้องทำเยอะเลยจะได้ทำให้เยอะที่สุดก่อนเทรฟกลับมา เพราะไอ้จะหวังว่าทำจนเสร็จคงไม่มีทาง ว่าแล้วไปทำงานก่อนดีกว่า


ไปนะจ๊ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:40 pm

วันที่ 7 ธันวาคม 2009
สิบโมงแล้ว ที่แฟลต


เช้านี้อู้ ตื่นตั้งแปดโมงครึ่ง ปล่อยที่รักไปทำงาน ส่วนตัวเองก็นอนขึ้นอืด ก็นะ..เมื่อเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา กิจกรรม (เยี่ยมญาติ) เยอะไปหมด (จริงๆ คนที่แอบบ่นน่าจะเป็นเทรฟ เพราะขับรถอยู่คนเดียว แหะ แหะ)


เช้าวันเสาร์เราออกจากบ้านแต่เช้า (จริงๆ ก็ไม่เช้าเท่าไหร่ ตั้งแปดโมงครึ่ง ทั้งๆ ที่จริงๆ ตัั้งโปรแกรมไว้แปดโมง แต่เจ้าโปร่งดันทำเรื่อง..ว่าแต่ เรื่องอะไรไว้เล่าให้ฟังทีหลัง) วันนี้มีนัดไปเยี่ยมพ่อเทรฟ (ซีริล) กับแม่ (เลี้ยง) ชื่อมานูล่าที่แชมฟอร์ด บ้านเก่า ดั้งเดิมที่เทรฟเกิดและโตมา เราไปถึงที่นั่นกันก่อนเที่ยง ตามเวลานัดหมาย เป็นการเจอพ่อแม่สามีครั้งแรก จริงๆ เราตื่นเต้นมาล่วงหน้านานแล้ว เพียงแต่เทรฟ ให้กำลังใจว่า ซีริลกับมานูล่าใจดีไม่มีอะไรต้องกังวล ..เอ่อ..โดยมารยาทฝรั่ง เราต้องเรียกชื่อเขาอ่ะค่ะ ไม่ควรเรียกว่าพ่อกับแม่ เพราะว่าไม่ใช่พ่อกับแม่ของเราจริงๆ (ตะขิดตะขวงใจอยู่ตั้งนาน เหมือนมันไม่สุภาพ แต่ตอนหลังก็รับได้ เพราะเจ้าตัวเขาขอให้เรียกเขาโดยใช้ชื่อแทน..แป่วว)


มานูล่าเตรียมการตอนรับอย่างเอิกเกริก (คือแค่มากกว่าปกติน่ะ)ตั้งแต่ประตูหน้าบ้าน มีการติดรูปธงชาติไทย อังกฤษพร้อมคำว่า Welcome และคำแปลภาษาไทย (แต่เผอิญว่าแปลผิด..อืม ต้องโทษเวบไซต์ที่แปล ไม่อธิบายให้ละเอียด) มานูล่ามาเปิดประตูให้พร้อมยิ้มทักหน้าบาน กอดทักทายกันอย่างอบอุ่น แล้วเราก็เจอพ่อเทรฟถัดมา บ้านของสองคนเป็นหลังเล็กๆ กะทัดรัดพอให้รู้ว่าอยู่กันสองคน และเน้นความอุ่นสบายเป็นหลัก ทั้งเครื่องทำความร้อน ผ้าม่านที่หนาหนักไว้กันความหนาวอย่างดี อ้อ..บ้านส่วนใหญ่ที่นี่เขาไม่ถอดรองเท้าเข้าบ้านกัน ทั้งๆ ที่ปูพรมทั้งหลัง ฝุ่นโคลนที่เลอะเทอะจากฝนฉ่ำกลับไม่สกปรกมากอย่างที่คิด


ตามธรรมเนียม(อย่างมาก) การเริ่มต้นทักทายกัน ก็โดยการนั่งคุยกัน ทำความคุ้นเคยกันซักนิด ถามไถ่ไปมา มานูล่ายกของขวัญกล่องสีทองให้เป็นของขวัญวันแต่งงาน (อ้อ ก่อนมา เทรฟเตือนว่ามานูล่าชอบถักไหมพรมและงานปักเป็นชีวิตจิตใจ ฉะนั้นอย่าได้ไปทักอะไรเข้า..ของจะเข้าไม่รู้ตัว..หมายถึงได้เสื้อไหมพรม (ลายไม่น่าใส่..ออกจากบ้าน) ติดมือเป็นของฝาก) เราเปิดกล่องของขวัญออกมาเป็นโถแก้วคริสตอลเหมือนพานเล็กๆ พร้อมตัวปิดที่เป็นเหมือนฝาครอบตาข่าย เรามองแล้วงงๆ เขาเอาไว้ทำไรหว่า..รับมาแล้วก็คิดว่าคนรับเขาคงรอให้เราพูดอะไรซักอย่าง..เลยโพล่งไปว่า.."เฮ้..เอาไว้ใส่สกิลเทิ่ลได้ดิเนี่ย (เราหมายถึงพวกลูกอมหรือช็อกโกแล็ต)..แต่ปรากฏว่า มานูล่าบอกว่า เขาเอาไว้ใส่ดอกไม้ ก็คือว่า..โถส่วนล่างก็ใส่น้ำหล่อไว้ ส่วนตะแกรงก็มีไว้เสียบดอกไม้เล็กๆ ที่เป็นดอกๆ ก้านสั้นๆ ให้มันไม่ไปก่อนกันอยู่ในพาน ฉะนั้นถ้าเสียบตามรูของตะแกรงก็จะได้พุ่มดอกไม้สวยงามไว้ประดับโต๊ะ บ้าน หรือขอบหน้าต่าง..แหะๆๆ หน้าแตกเลยตู


แกะของขวัญแล้ว ก็เป็นพิธีการดื่มแชมเปญตามธรรมเนียม หนนี้ซีริลเปิดแชมเปญได้ "ป็อก" จริงๆ ด้วย จุกกระเด็นขึ้นหลังคาไปเลย ฮี่ฮี่ หนนี้เราพอรู้แกวอยู่บ้าง ไม่เผลอ(เกือบ)จิบก่อนอย่างคราวก่อน เราจิบกันนิดหน่อยแล้วก็ได้เวลาออกเดินชมเมือง เพราะด้วยอากาศไม่เย็นมาก เหมาะแก่การเดินเล่น มานูล่าควงแขนเราเดินรอบเมืองพร้อมบรรยายประกอบ ปล่อยให้พ่อลูกสองคนเดินตามหลัง เราฟังมานูล่าบ้าง สัมภาษณ์เธอบ้าง เลยรู้ว่าสองคนนี้เป็นนักกิจกรรมใช้ได้เลยทีเดียว เพราะเข้าร่วมกิจกรรมชมรมการแสดงของเมือง ซึ่งจะมีการจัดละครปีละสามครั้ง และก็มีชมรมอื่นๆ อีก ทั้งกีฬา (เบาๆ) และอื่นๆ ส่วนมานูล่านั้นเป็นอาสาสมัครขององค์กรการกุศลแห่งนึงด้วยการรับทำงานฝีมือพวกเย็บปักถักร้อยแล้วก็ให้ที่ร้านเอาไปขายหาเงินเข้าการกุศล ฉะนั้นก็จะเห็นมานูล่าถักนู่น ปักนี่แทบตลอด อ่อ..และจริงดังว่า..เราได้เสื้อไหม "โมแฮร์" กลับมาตั้งสองตัว


อาหารกลางวันวันนี้เป็นซุปเล็ททิส (ซุปผักกาด) ใส่ขนมปังทอดกรอบ ตลอดวันเราก็ถามนู่นถามนี่ว่าทำไมไอ้นั่น ทำไมไอ้นี่ ทำเอาเขาต้องคิดคำตอบกันให้วุ่น ต้องบอกว่าเป็นครั้งแรกที่เรากินซุปใส่ขนมปังทอด เพราะเราคิดมาตลอดว่าขนมปังมันน่าจะอมน้ำมันแล้วเอามันไปทอดทำไมหวา?? แต่พอลองกินดู โห...อร่อยโครต กินใหญ่เลยทีนี้ มื้อกลาววันวันนี้ถือว่าเป็นมื้อเบา เพราะเรามีมื้อเย็นมือใหญ่รออยู่


และแล้วมื้อเย็นก็มาถึง..เป็นมื้อเย็นที่เรียกว่ายาวนานกว่าจะสิ้นสุด เราเริ่มตั้งต้นตั้งแต่หกโมงเย็น ซีริลเริ่มตั้งโต๊ะ วางเสื่อรองจาน รองแก้ว ซอส ช้อนส้อม มีด ฯลฯ เรากับเทรฟนั่งดูทำตาปริบๆ อยากช่วย แต่ผิดมารยาท เพราะเราเป็น(ถือว่า) เป็นแขก ส่วนเขาเป็นเจ้าบ้าน
คอร์สแรก เริ่มด้วย อะโวคาโดผ่าครึ่งเอาเม็ดออก ราดด้วยน้ำส้มสายชู (มอลต์เวนิก้า) กับพริกไทดำ..เป็นอาหารเรียกน้ำย่อยหน้าตาแปลกดีไม่ใช่น้อย แต่ทำง่ายดีแฮะ
คอร์สสอง อาหารจานหลัก เป็นสปาเก็ตตี้ซอสเนื้อ สูตรฝีมือซีริล (เทรฟว่าเราโชคดีมากที่ได้กิน เพราะปกติมานูล่าทำกับข้าว..ซึ่งไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่) เป็นซอสสูตรเข้มข้น ใส่เครื่องปรุงสารพัด แถมเคี่ยวทิ้งไว้ให้เข้าเนื้อด้วย เราก็กินๆ จำๆไว้ เดี๋ยวจะได้มาปรับปรุงรสชาติฝีมือเทรฟให้ใกล้เคียง เสร็จจากสปาเก็ตตี้จานใหญ่ (อ่อ เขาต้องกินคู่กับขนมปังปิ้งทาเนยด้วยนะ ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน)
คอร์สสาม บิสกิตกับชีสหลากชนิด มานูล่าเสริฟบิสกิตจืด พร้อมกับถาดชีสขนาดย่อมที่มีชีสสารพัดทั้งอังกฤษ ดัช ฝรั่งเศส เชดด้า (ปกติที่ใช้ทำกับข้าว) และบลูชีส (ชีสแกะ) ซีริลน่ารัก บอกว่าให้ลองกินอย่างละนิดก่อน ถ้ายังไม่ชิน อาหารกินเล่นจานนี้ต้องเรียนรู้อีกนานกว่าจะรู้ว่าอันไหนคือของดีและของชอบ ทีสำคัญต้องกินคู่กับไวน์แดง วันนี้ซีริลเปิดทั้งไวน์ขาวและแดงไว้บริการ
คอร์สสี่ ของหวานคือ Trifle (ไทรเฟิล..น่าจะสะกดอย่างนี้) เป็นของหวานมีสามชั้นสามชื่อ ชั้นล่างสุดเป็นเยลลี่ผลไม้ ชั้นต่อมาเป็นเนื้อเค้ก และชั้นบนเป็นคัสตาร์ด
ยัง ยังไม่หมด คอร์สสุดท้าย เป็นไอริชคอฟฟี่ กาแฟไอริช กล่าวคือ กาแฟใส่วิสกี้มีชั้นครีมขาวด้านบนสุด เวลากินให้ยกแก้ว(ซึ่งเป็นแก้วทรงสูง) ดื่มกาแฟร้อนจี๋โดยจะมีครีมด้านบนช่วยบรรเทาความร้อนของกาแฟ (ฉลาดแท้)


หมดจนทุกคอร์สปาเข้าไปสามทุ่มกว่า กินจนง่วง เห็นแบบนี้แล้วปฏิบัติการลดน้ำหนักเราจะประสบความสำเร็จไหมเนี่ย มานูล่าช่วยปลอบใจว่า เราไม่กินกันอย่างนี้ทุกวันหรอกนะจ๊ะ และตามธรรมเนียมหลังกินกันอิ่มหนำสำราญก็ถึงเวลามานั่งคุยกัน (ทั้งๆที่เราง่วงแสนง่วง..กินเยอะไปอ่ะดิ) อ้อ ..แต่ก่อนคุย อย่างน้อยเราทำหน้าที่ลูกที่ดีขออาสาล้างจานช่วยกันกับเทรฟนะ จำนวนจานคงไม่ต้องบอกเพราะคะเนได้จากจำนวนคอร์สอาหารที่กิน กินแต่ละครั้งก็เปลี่ยนจานกันที เฮ้อ..วุ่นดีแท้..แต่เรื่องล้างจานเราบ่ยั่นอยู่แล้ว เราชอบล้าง แผล็บบเดียวก็เสร็จ


พอเราง่วงได้ที่ เราก็ชวนเทรฟไปนอน มานูล่าจัดเตียงนุ่มๆ น่านอนไว้ให้ พลางขอโทษขอโพยว่าเขาไม่มีเตียงคู่ มีแต่เตียงเดี่ยวสองหลังวางติดกันโดยมีผ้านวมผืนใหญ่คลุม อ้อ ก่อนนอนต้องไม่ลืมนัดแนะเวลาตื่น เพราะก็ต้องกินข้าวเช้าพร้อมกันตามธรรมเนียม และมื้อเช้าพรุ่งนี้มีครัวซองท์ของโปรดเรา เย้..


เช้าวันอาทิตย์สองคนเรากับเทรฟตื่นสายได้ใจ หลับสบายกว่าที่คิด เราลงไปอิ่มหนำสำราญกับครัวซองท์ ซึ่งก็แน่ๆ ว่าเจ้าบ้านต้องเป็นฝ่ายจัดโต๊ะอีกตามเคย ครัวซองท์เขาก็กินกับแยมหรือเนย แยมที่มานูล่ายกมามีแยมผลไม้ไม่แน่ใจว่าแบลคเคอร์เรนท์หรือลูกอะไร แต่อีกอันคือมาร์มาเลด ซึ่งปกติเราไม่ชอบกิน แต่หนนี้มานูล่าบอกว่ามันเป็นมาร์มาเลดที่ทำจากมะนาว ไม่ใช่ส้มอย่างทุกที เราเลยชอบใจกินใหญ่เลย และสุดท้ายก็ได้เจ้าแยมขวดนั้นกลับไปเป็นของขวัญอีกจนได้ อ้อ แน่นอนว่าแยมทั้งสองอย่างเจ้าบ้านทำเองจ้า..แหม แม่บ้านแม่เรือนกันดีจริงๆ (อ้อ เทรฟก็ทำเป็นนะคะ)


ออกจากบ้านซีริลกับมานูล่าด้วยความชื่นมื่น นัดถัดไปก็คือกินกลางวัน(มื้อใหญ่)กับเจเน็ท (แม่แท้ๆ ของเทรฟ)และเท็ดที่อยู่อีกเมือง ใช้เวลาขับรถชั่วโมงครึ่ง เราไปถึงที่นั่นได้เวลาพอเหมาะพอเจาะ สิบเอ็ดโมงครึ่ง เรานั่งคุยกันนิดหน่อย ก่อนที่เจเน็ทจะปลีกตัวไปเตรียมอาหารกลางวัน (มื้อใหญ่) ปล่อยให้เรากับเทรฟนั่งคุยกับเท็ด สองสามีภรรยาคู่นี้สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง ปอดไม่ดี เดินขึ้นบันไดไม่ได้แล้ว ต้องใช้ลิฟท์ที่เป็นเก้าอี้นั่งเลื่อนขึ้นไป เวลาส่วนใหญ่ของสองคนก็คือนั่งอยู่บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่คนละตัว เล่นกับหมา (โฮลี่) นั่งมองนกในสวน ดูโทรทัศน์และเล่มเกมส์อักษรไขว้ในหนังสือพิมพ์ อ้อ เจเน็ทเป็นแม่บ้านเต็มตัวและพึ่งย้ายมาอยู่กับเท็ด (สามีใหม่)ได้ประมาณสิบปี


มื้อกลาววันมื้อนี้ เป็นเนื้ออบ (โรสบีฟ Roasted beef) เป็นอาหารสไตล์อังกฤษที่ส่วนใหญ่มักกินกันมื้อเย็นวันอาทิตย์ มีเนื้อ(ชั้นดี)อบที่เจเน็ทแล่ด้วยมีดไฟฟ้ามาเป็นแผ่นบางๆ เนื้อนุ่มเปื่อยดีมาก แต่ไม่แตกออกจากแผ่น กินคู่กับมันอบ มันต้ม ผักต้มนานาชนิดได้แก่ บรัสเซลสเปราท์ แครอท ถั่วแขก มียอร์กเชียร์พุุดดิ้งที่เป็นแป้งอบ (ของโปรดเรา) ราดด้วยน้ำเกรวี่ (ที่จะเป็นได้ทั้งแบบข้นหรือแบบใส) เราลองกินอิงลิชมัสตารด์ครั้งแรก เผ็ดใช้ได้ เล่นเอาเราน้ำตาเล็ดเลยทีเดียว


กินกันเสร็จแล้ว ที่ขาดไม่ได้สำหรับมื้อพิเศษ(โดยเฉพาะบ้านนี้)ก็คือ ขนมแบบอบเองที่บ้าน แม่เทรฟทำเมอร์แรงค์หน้าตาหรูหรา คือเป็นเนื้อครีมและเค้กมวนเป็นเหมือนแยมโรล แทรกระหว่างชั้นด้วยเนื้อครีมแสนอร่อยคลุมด้วยเมอร์แรงค์ที่มีถั่วพีแคนประดับประดา อืม..อา หย่อยย สุดๆ (อีกครั้งที่การลดความอ้วนล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง) ยังไม่พอยังมีแอปเปิ้ลสตูเดิ้ลอีกต่างหาก เราเรียกมันว่าพายแอปเปิ้ลเปรี้ยว แหม..ใจนะอยากเอาไอ้เมอร์แรงค์กลับบ้านใจจะขาด แต่เกรงใจตัวเอง ทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ


ก่อนกลับแม่เทรฟใจดีห่อเนื้อที่เหลือให้กลับบ้าน บอกว่าเอาไว้ไปทำแซนวิชกิน (ประหยัดตังค์ได้อีกหลายวัน)


เห็นเจเน็ทแล้วเรานึกถึงป้ายิ่ง เพราะมีบุคลิกแบบแม่บ้านร้อยเปอร์เซ็นต์ที่ชอบให้อะไรต่อมิอะไรอยู่ในที่ในทาง ระเบียบเยอะ แต่ใจดี (ถ้าอ้อนถูกทาง) ชอบทำขนม กับข้าวไปเรื่อย


เราออกจากบ้านนั้นกันราวบ่ายสองโมงครึ่ง เพราะต้องขับรถอีกตั้งสามชั่วโมงครึ่งกว่าจะถึงบ้าน (สงสารเทรฟจัง เพราะเราช่วยอะไรไม่ได้เลย) ขากลับเทรฟตั้งใจว่า ถ้าถึงเร็วเราจะได้แวะซื้อผ้านวมผืนใหม่กัน และก็เพราะผ้านวมนี่แหละที่ทำเอาเราออกจากบ้านสาย เพราะเราแอบน้อยใจเทรฟว่า ทำไมอ่ะ แค่ผ้านวมผืนใหม่ทำไมเราซื้อเองไม่ได้เหรอ ต้องรอใส่ไว้ลิสต์ของขวัญที่อยากได้ เผื่อมีใครถามเขาจะได้ซื้อให้ถูกใจเราด้วย (แถมประหยัดตังค์ตัวเอง) ผลก็คือเทรฟงงว่าไหงแค่เรื่องผ้านวมจึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ เราบอกว่า ก็เราไม่ชอบนอนหนาวนี่นา (ผืนที่ใช้อยู่มันบาง และไม่ใหญ่มาก) จริงอยู่ว่ามันไม่ได้หนาวขนาดนั้น แต่มันก็หนาวขนาดทำให้เช้าตื่นมาแล้วเจ็บคอนี่นา (ซึ่งจริงๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันเป็นเพราะผ้านวมหรือเป็นเพราะเราสองคนเป็นหวัดกันอยู่ก่อนแล้ว) แล้วเราก็รู้สึกว่า ทำไมอ่ะ เราไม่มีตังค์กันขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วนี่เราก็ใช้เงินบัญชีเดียวกับเทรฟ ถึงแม้ว่าเทรฟจะอนุญาตให้เราใช้อะไรก็ได้ แต่เราก็ไม่เคยสบายใจหรอกนะ เรารู้สึกว่าเราสูญเสียอำนาจการตัดสินใจและการจัดการในตัวเอง ฯลฯ เราบ่นไปร้องไห้ไป ประมาณระบายความอัดอั้นตันใจ เทรฟฟังอย่างเข้าใจ กอดปลอดเราแล้วพูดว่า โถ..เรามีตังค์นะที่รัก เยอะด้วย ผมไม่คิดว่าเรื่องผ้านวมจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ผมไม่ได้คิดว่าเรารีบร้อนใช้มันก็เท่านั้นเอง เพราะสำหรับผมมันไม่ได้หนาวมากมายอะไร แต่ถ้ามันหนาวและคุณอยากได้ผืนใหม่ เดี๋ยวเราไปซื้อใหม่ด้วยกันก็ได้ ส่วนเรื่องเงิน มันไม่ใช่เงินผม มันคือเงินของเรา ผมทำงานแบบที่ได้รับเงินเดือน ส่วนคุณก็ทำงานในส่วนที่มีความสำคัญเหมือนกัน และผมทำเองไม่ได้ เราช่วยกันไง เพราะงั้นเมื่อเราได้เงินมา มันก็คือเงินของเรา..


ฟังแล้วรู้สึกดีจัง เราบอกเทรฟว่าเราจะหาทางออกเรื่องนี้ด้วยการกดเงินให้ตัวเองเป็นรายอาทิตย์ เราจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดมาก แล้วพอเราปรับตัวได้ (ยอมรับได้ว่าเงินในบัญชีเราก็มีสิทธิใช้อย่างเต็มที่) เราก็ค่อยว่ากันอีกที


เทรฟว่า..ตามใจ พร้อมทั้งยอมรับว่าเราช่างเป็นผู้หญิงแสนประหลาด สาวอื่นเขาคงหวานหมู เที่ยวเล่นช็อปปิ้งกระจาย เพราะสามารถเข้าถึงบัญชีเงินหลักของบ้านได้ แต่เผอิญไม่ใช่เรา..เฮ้อ..ก็ถือว่าโชคดีแบบประหลาดๆ ไปนะเทรฟนะ


โปร่งจ้า
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » พุธ ธ.ค. 09, 2009 10:41 pm

เช้าวันพุธที่ 9 ธันวาคม 2009 ที่แฟลต


เมื่อวานไปหาหมอฟันมา..จริงๆ ก็ไม่มีอะไรน่ากลัวนะ แต่ไม่รู้ทำไมกังวล
เพราะจริงๆ เราก็เลยไปหาหมอฟัน (คนเดียว) มาก่อนหน้านี้แล้ว พอหนนี้มีสามีเข้าหน่อย ทำเป็นปอด...แต่แล้วก็เป็นเรื่องจริงๆ ..คือจริงๆ ที่เรากลัวไม่ใช่หมอฟัน แต่เป็นภาษาอังกฤษของหมอฟันต่างหาก


เราไปถึง..เนื่องจากที่นี่เป็นคลินิคเอกชน (ที่ลงทะเบียนไว้กับรัฐบาล แปลว่าเป็นคลินิคประกันสังคม..แต่ก็ต้องจ่ายตังค์อยู่ดี..แล้วบอกทำไมวะเนี่ย) คือตามธรรมเนียมอะไรที่เป็นประกันสังคมไม่ควรจะต้องเสียเงิน แต่เทรฟบอกว่า เดี๋ยวนี้อะไรก็เปลี่ยนไป คงต้องเตรียมเงินไปจ่ายด้วยซัก ?20 (หา! อะไรนะ แค่ "ตรวจฟัน"เนี่ยนะ ใช้เงินเป็นพัน(บาท) เลยเหรอ?


เมื่อเข้าไปตรวจหมอก็สัมภาษณ์แบบประมาณคำถามมาตรฐาน แล้วหนึ่งในคำถามต้นๆ ก็คือ '....government claim?' เราก็ เยส ไปอย่างเดียว พอเขาถามต่อว่า 'which one?' เราก็อึ้งดิ จะตอบยังไงวะ เพราะไม่เข้าใจว่าการเคลมกับรัฐบาลที่เข้าหมายถึง มันหมายถึงอะไร เราก็เลยบอกเขาไปว่า เราพึ่งย้ายมาอยู่ เราไม่รู้ว่าต้องยังไง เขาว่า แล้วมาอยู่ถาวรหรือเปล่า เราบอกว่าใช่ แล้วเขาก็ถามคำถามเดิม ทีนี้เราเลยอนุมานว่าเขาคงถามว่า "เราเบิกได้หรือเปล่า" ทำนองนั้น แล้วก็เลยถามต่อประมาณว่าจะเบิกภายใต้เงื่อนไขอะไร ..พอเดาๆ แบบนี้ก็เลยตอบเขาไปว่าไม่เบิกอ่ะ จากนั้นก็เริ่มกระบวนการตรวจฟัน


เขานับฟันไล่ซี่ไปเรื่อย แล้วก็ประมาณขานรายละเอียด เราถึงรู้ว่า อ่อ เขาไม่ได้คุยกะตรูแล้วนะ แต่คุยกะผู้ช่วยฯ แหม นอนอ้าปากอยู่อย่างนั้น หน้าหมอก็ไม่เห็น ไม่นับภาษาอังกฤษหมอภายใต้ผ้าปิดปาก..สาธุ รอดมาได้ก็บุญแล้ว คิดอีกทีแบบเข้าข้างตัวเองว่า เขาไม่ได้ปฏิบัติกับเราเหมือนเราเป็นต่างชาติด้อยภาษาก็ดีแล้ว เพราะภาษาอังกฤษหมอเร็วปรื๋อ (ฟังออกทุกคำ แต่คิดคำตอบตามไม่ทัน เพราะคราวก่อนไม่เห็นโดนแบบนี้เลย) ไม่ออกแนวค่อยๆ พูด เพราะกลัวเราฟังไม่รู้เรื่อง อืม..คิดแบบนี้แล้วกัน สบายใจดี เราเชื่อว่า ก็ไม่ใช่ฝรั่งทุกคนหรอกที่จะเข้าใจเรื่องพวกนี้ เขาถามเราเพราะคงจากประสบการณ์เขามากกว่าว่า พวกต่างชาติมักมาอยู่ให้รัฐบาลเขาเลี้ยง


เราออกมาแล้วก็แวะซื้อของนิดหน่อย ก่อนเดินตากฝนกลับบ้าน (ฮือ ฮือ) ก็จักรยานยังไม่มีนี่ เทรฟว่าให้รอหน่อย ขอเพื่อนไว้ให้แล้ว แต่ยังไม่มีเวลาไปเอา (เรื่องจะซื้อใหม่เนี่ยนะ ฝันไปเลย สามีดิฉันงกตัวยง) ถึงบ้านหาข้าวกินให้ซก (มีอะไรก็กินๆ ไป แหม มันไม่มีหม้อข้าวให้เปิดกินเนอะ)
แล้วก็ทำงานตามสั่งต่อไป ว่าแล้วไปทำงานต่อก่อนดีกว่า
ไปล่ะ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » จันทร์ ธ.ค. 14, 2009 11:04 pm

วันที่ 10 ธันวาคม 2552

เที่ยงกว่าแล้ว ที่แฟลต ..


แดดข้างนอกสวยเชียว น่าออกไปเดินเล่น แต่เห็นแดดแบบนี้ในช่วงเวลาอย่างนี้บอกได้เลยว่าอุณหภูมิก็ยังไม่มีทางหนีหนาวไปได้ ได้สั่นจับใจแค่เดินอยู่ในร่ม..แต่อ่ะนะ ก็ได้แต่อยากออกไป แต่ออกไปไม่ได้ งานท่วมหัวท่วมหู


วันนี้ตั้งแต่เช้ามาแล้วก็ต้องจัดการงานบ้านซะหน่อย ซักผ้า ตากผ้า เตรียมเครื่องปรุงข้าวเย็น (วันนี้เราแสดงฝีมือ) เพราะกระดูกหมูต้องเคี่ยวทิ้วไว้จนเปื่อย..ไม่งั้นพ่อคุณคงไม่ยอมแตะ หันไปหันมาก็ได้เวลาหาข้าวกลางวันให้ตัวเอง เอ๊ะ..ท้องมันร้องเตือนด้วยนี่่นา..ก็แหม แค่ซีเรียลใส่นม กับแอปเปิ้ลหนึ่งผลมันจะอยู่ท้องไปได้นานซักแค่ไหนเชียว


เราย่างไส้กรอกที่เหลืออยู่สามอัน (กั๊กไว้) กับขนมปังกระเทียมสองชิ้นสุดท้าย แล้วกินคู่กับโคลสลอว์ (Coleslaw) ที่เหลือจากเมื่อวานเย็น (เทรฟทำเอง ของง่ายๆ ขนาดนี้เทสโก้ไม่ได้กินตังค์เทรฟหรอก) จากที่คิดว่าจะไม่อิ่ม กลายเป็นว่ากินเกือบไม่หมด เหลือเจ้าไส้กรอกซะงั้น เพราะเราเอ็นจอยโคลสลอว์อย่างเมามัน ทำเป็นแล้วทีหลังทำกินเองใหม่ก็ได้


อิ่มแล้ว ก็ได้เวลาทำงาน ยังเหลือข้อมูลอีกมากมายให้ต้องค้น ต้องอ่าน เวลาก็มีจำกัด (หลายอย่างต้องแข่งกับเวลานะคะ ช้าเกินไป ข้อมูลที่มีก็ล้าสมัย ไร้ประโยชน์) ว่าแล้วก็ไปทำงานก่อนละ แวะมาเมาท์สั้นๆ เท่านั้นเอง
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » จันทร์ ธ.ค. 14, 2009 11:05 pm

วันที่ 13 ธันวาคม 2552

สองทุ่มครึ่ง ที่แฟลต กับอากาศเย็นๆ


วันนี้เป็นวันครบรอบสี่ปีของเรากะดาร์ลิ่ง...จริงๆ เกือบลืมไปแล้ว..โชคดีที่ซื้อการ์ดเตรียมไว้นานแล้ว เลยรอดไป


ก็ยังว่า..ทำไมวันนี้ที่รักขยันล้างจานจัง เราทำกับข้าวเสร็จ (วันนี้มีแกงไก่ กับต้มจืดแตงกวายัดไส้..อร่อยมั่กๆ) นั่งกินข้าวกัน เสร็จแล้วก็นั่งผึ่งพุงอยู่หน้าทีวี เทรฟลุกไปล้างจาน เก็้บโต๊ะ เก็บครัว..แอบสงสัยว่าทำไมวันนี้ไม่นั่งผึ่งพุงเป็นเพื่อนกัน..แต่คิดเอาเองว่า สงสัยไม่ชอบรายการที่เราดูอยู่ก็เลยไปหาอะไรทำ อีกแป๊บเดินกลับมานั่งคุกเข่าข้าง ๆแล้วถามว่า "เอาอะไรอีกไหมจ๊ะที่รัก ชาไหม?" เราส่ายหน้างงๆ "ไม่อ่ะค่ะ" (ฮึ่ม คนกำลังตั้งใจดูทีวีอย่ากวนได้ไหม) หันไปมองหน้าเขา เห็นแววตาใสๆ เลยยิ่งงงไปใหญ่ ก็จะมาเฉลยตรงที่เทรฟยื่นการ์ดสีชมพูสวยให้ แล้วพูดว่า "แฮปปี้ แอนิเวอร์ซารี่จ้า" อ่ะ อ้าว..ตรูลืมไปแล้วว่ะ..เทรฟแอบรู้ทัน..นี่ลืมอีกแล้วใช่ไหม เรากอดขอบคุณเขา แล้วก็..อะฮึ่ม..เดินไปหยิบการ์ดของเราให้เขา..เฮ้อ..รอดตายอย่างหวุดหวิด


วันนี้ต้องบอกว่าบรรยากาศในบ้านดีอย่างเหลือเชื่อ (หมายถึงตั้งแต่ตื่นนอน)..ถามว่าทำไมถึงเหลือเชื่อ ก็เพราะมันแตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง มันเกิดอะไรขึ้น เดี๋ยวเล่าให้ฟัง
เช้านี้ตื่นมาตามเวลาปกติหกโมงครึ่ง แล้วก็คิดได้ว่าตั้งใจกันไว้ว่าจะตื่นสาย (เพราะถ้าเราลุกเร็ว เทรฟจะตื่นตาม) เราก็หันไปหลับต่อแบบกลิ้งไปกลิ้งมา ลุกขึ้นกันมาอีกทีก็เก้าโมงกว่า เทรฟไอเดียบรรเจิด "ที่รักจ๊ะ เราไปวิ่งกันเถอะ" อ่ะค่ะ..วิ่งค่ะวิ่ง ดีค่ะออกกำลังกาย..แต่ว่าแต่เช้านี่เลยเหรอ..จ๊ะ เพราะถ้าจะให้ดี ต้องวิ่งก่อนอาหารกลางวัน จะได้ไม่อืดมาก (เรากินแค่ซีเรียลใส่นมกันตอนเช้า) หนึ่งชั่วโมงให้หลังเราก็แต่งเนื้อแต่งตัว เตรียมออกวิ่ง เทรฟใส่กางเกงวอร์ม เสื้อยืด รองเท้าผ้าใบ บอกว่าจะไม่เอาของไปให้เกะกะ (หมายถึงกระเป๋าตังค์หรือมือถือ กุญแจบ้านก็แขวนคอไป) เราก็เอามั่ง แต่งตัวเหมือนกัน..เอ่อ..แต่ว่าที่รักจ๊ะ มันไม่มีอะไรขาดไปเหรอ..เทรฟไม่เอาของไปเหรอ มะเป็นไร เดี๋ยวโปร่งใส่แจ๊คเก็ตแล้วเอาใส่กระเป๋าเสื้อก็ได้นะ ..เทรฟว่า อย่าเลย ใส่แจ๊คเก็ตวิ่งเดี๋ยวไม่ถนัดนะ ใส่เสื้อสเว็ตเชิ๊ตแทนแล้วกัน (sweatshirt) (หน้าตาก็คือเสื้อกันหนาวสวมหัวนั่นเอง)..เอานะ..ฟังดูดี อุปกรณ์พร้อม กายพร้อม ใจพร้อม ไป..ออกวิ่งเลย..


แต่เดี๋ยวก่อน..ลืมอะไรไปหรือเปล่า? ว่าที่กำลังจะวิ่งกันอยู่เนี่ย อุณหภูมิมันแค่ห้าองศานะเทรฟ..ดูเหมือนว่า เทรฟจะไม่สนใจแล้ว เพราะท่าทีไม่ได้มียี่หระต่ออากาศ เราน่ะ สั่นไปเรียบร้อย เทรฟหันมาให้กำลังใจหน้าตาเฉยว่า..เอาน่า วิ่งไปเดี๋ยวก็อุ่นเอง..เฮ้อ..ผลก็คือ..ไอ้โปร่งวิ่งไปจนหูหลุด (แปลว่า มันหนาวมากจนหูชา รู้สึกเหมือนไม่มีหูอยู่กับตัว)


เรากลับเข้าบ้านตอนสิบเอ็ดโมงครึ่ง เทรฟอาบน้ำเปลี่ยนชุดแบบเร่งด่วน เพราะว่าเรากำลังจะออกไปซื้อของกัน (เราไม่อาบ มันไม่มีเหงือซักเม็ด แล้วเมื่อเช้าก็อาบไปแล้วด้วย) เราไปซื้อของกัน โดยมีเราเป็นสารถี เทรฟว่า ดีมากเริ่มมั่นใจขึ้นแล้ว ขับบ่อยๆ เดี๋ยวก็ดี ..อ้อ วันนี้เราได้ต้นคริสตมาสต้นเล็กๆมาแต่งบ้านกันด้วย แหม..รู้สึกคริสตม๊าส คริสตมาส


กลางวันวันนี้ เทรฟทำอาหารเมดิเตอร์เรเนี่ยน เป็นสลัดทูน่าใส่ถั่วชิกพี (Chickpea) ไข่ต้มกะหอมใหญ่ กินกะปลาดอง (จะเรียกอะไรดีวะ?..Pickle Herring) กะผักสลัด และขนมปังโฮลวีตทาเนยคนละแผ่น ดูเฮลต์ตี้สุดๆ ขอบอกว่า อีปลาดองนี่อร่อยมากๆ มันยัดไส้แตงกวาดองด้วย Yum yum


บ่ายนี้เทรฟทำงานบ้านกุ๊กๆ กิ๊กๆ เราช่วยกันทำความสะอาดบ้าน ก่อนที่เราจะลงมือทำอาหารเย็น (สุดอร่อย โฮะๆๆๆ) ช่างเป็นบรรยากาศวันอาทิตย์ที่แสนสุขจริงๆ เชียว


แล้วเกิดอะไรขึ้นเมื่อวาน???


เมื่อวานเป็นวันแสนยุ่งอีกวันหนึ่งของชึวิต เรามีนัดและเรื่องต้องทำแน่นไปหมด ตั้งแต่เช้าจรดดึก
เริ่มจากออกจากบ้านเก้าโมงเช้า เราตั้งใจไปซื้อไม้ทำต่อทำโต๊ะกาแฟ (ที่จริงๆ เอาไว้นั่งกินข้าวหน้าทีวี) ซื้ออุปกรณ์ช่างเพิ่มเติม ซื้อของแต่งบ้าน (อ้อ ต้นคริสตมาส) กระจกแต่งตัว (ในแฟลตมีแต่กระจกบานเล็กๆ) เย็นนี้ต้องไปงานเลี้ยง ต้องการกระจกบานใหญ่มาเช็คความเรียบร้อย และของกินอีกจิปาถะ แถมด้วยนัดไปซื้อตู้แช่ (Freezer) มือสองราคา ?20 (ประมาณพันกว่าบาท) ขนาดย่อมเยา (ด้วยเนื้อที่มีจำกัด) เพราะของใหม่ราคาร้อยกว่าปอนด์ บ่ายโมงตรงมีนัดดูบ้าน แถมเย็นนี้ต้องไปงานเลี้ยงคริสตมาสของบริษัทเทรฟ..โอ้ ก็อด งานแน่นจริงๆ


เราเริ่มจากแวะซื้อของทำโต๊ะกันก่อน และของกินของใช้อีกเล็กน้อยที่ขาดไป จากห้างบีแอนด์คิว (B&Q..หน้าตาก็ร้านขายฮาร์ดแวร์ขนาดเท่าแม็คโคร โลตัส ประมาณนั้น)และเซนส์เบอร์รี่ (Sainsbury's..ก็ซุปเปอร์มาเก็ตแบบบ้านเรานี่แหละ) จากนั้นไปดูตู้แช่ สภาพโอเคก็เลยยกมาเลย ระหว่างทางผ่านห้าง IKEA (ไอเคีย ห้างขายของแต่งบ้านแบบคอนเซ็ป หรืออินเด็กซ์ในเมืองไทย) ก็เลยตัดสินใจแวะดูกระจก (เพราะที่อื่นไม่มีขาย) และเรื่องก็เกิดตรงนี้แหละ


ไอ้เราพอไปที่ใหม่ ก็ขอเปิดหูเปิดตาเก็บข้อมูลนิดนึง ดูอะไรก็อยากรู้อยากเห็นไปหมด แต่เทรฟบอก..ไอ้นั่นเราไม่เอา ไอ้นี่เรายังไม่ใช้ตอนนี้..ใจเราตะหงิดๆ ทำไมต้องเร่งด้วยหว่า? คุยกันไปคุยกันมา ก็เลยเสียงดังใส่กัน เพราะเรารู้สึกว่าเทรฟเร่ง ทั้งๆที่เราก็ถามแล้วว่าเรามีเวลาแค่ไหน แล้วเราก็ไม่่ใช่คนที่จะเดินไปเรื่อยไม่ดูเวลา เทรฟก็ โอเคๆๆ ไม่ได้เร่ง เพียงแต่วันนี้มีเรื่องต้องทำตั้งเยอะ ก็เลยคิดว่าอย่าพึ่งเดินดูเลย..เราก็เถียง แล้วงั้นมาบอกทำไมว่ามีเวลาตั้งสองชั่วโมง! สรุปก็คือก็เลยโกรธกันซะงั้น แต่ด้วยความที่เราเป็นคนอารมณ์ร้อน ขึ้นเร็วและไม่เก็บ (และเราขอยืนยันว่าเรา "ไม่เก็บ") พอเราพูดออกไปหมดแล้ว เราก็ไม่มีอะไรมาอึดอัด อีกแป็บพอเราเย็นลงเราก็ขอโทษเขา แล้วก็คุยกันดีๆ ต่อไป เราดูหน้าเทรฟก็รู้ว่าเขาอารมณ์บ่จอย จนในที่สุดขึ้นรถมา ก็เลยขอเคลียร์กันอีกที..
และแล้วมันก็จบอย่างแฮปปี้เอ็นดิ้งอย่างเคยนั่นแหละ..เราเรียกสถานการณ์แบบนี้ว่า "การปรับตัวเข้าหากัน"


เวลาเราโมโห แล้วโวยวาย เราก็โวยวายตรงนั้น จบตรงนั้น ไม่มีมาเก็บไว้ฝืนฝอยหาตะเข็บ เราชอบให้มันเป็นแบบนี้มากกว่า เพราะการอยู่ในสภาวะคนละวัฒนธรรม คนละภาษา แล้วไม่เคลียร์กันให้จบ รังแต่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ อีกอย่างเราก็ไม่ใช่คนมานั่งสงบปากสงบคำ (กับคู่กรณี...โดยเฉพาะสามี) แล้วไประบายให้คนอื่นฟัง เราคิดว่าเรื่องเกิดกับใครก็ควรเคลียร์กับคนนั้นให้จบ ..ซึ่งสุดท้ายมันก็จบลงด้วยดี แบบดีจริงๆ หมายถึงเรารู้จักและเข้าใจกันมากขึ้น ไม่ใช่มาฮึ่มๆ เป็นคลื่นใต้น้ำใส่กัน (เราชอบวัฒนธรรมตะวันตกตรงนี้แหละ)


เย็นนั้นกลับมาจัดของ กินอะไรรองท้องแล้วก็อาบน้ำแต่งตัวไปงานเลี้ยง


เป็นงานเลี้ยงวันคริสตมาสของบริษัทครั้งที่สองในชีวิตเรา มันดูแปลกๆ เกร็งๆ งงๆ อยากรู้ว่าเป็นไง ก็ให้นึกสภาพเดินเข้าไปในงานแต่งงานที่ไม่รู้จักใครเลยยกเว้นแฟนเราคนเดียว แล้วก็ไม่มีอะไรให้กินแก้เขิน ยกเว้นเครื่องดื่มที่ต้องจ่ายเงินซื้อเองในมือ นอกนั้นต้องเดินงงๆ ไปเจอคนแปลกหน้าแล้วก็แนะนำตัวกันเอง..และที่สำคัญมันเป็นภาษาอังกฤษนะ (นอกจากจะได้ยินยากเพราะบรรยากาศมันดังแล้ว ยังต้องหาบทสนทนาที่มันจะไม่ทำร้ายจิตใจคู่สนทนา และไม่สร้างบรรยากาศแปล่งๆด้วย..เฮ้อ..ฟังดูยากเนอะ)


แต่นั่นแหละ เราก็เดินๆ ยิ้มๆ จับมือไปตามเรื่อง เพราะหน้าที่วันนี้คือ ตามสามีมาเปิดตัว (อย่างเป็นทางการ) คนทั้งบริษัทได้ยินเรื่องเรามาร่วมสองสามเดือน วันนี้เป็นวันแรกที่ได้เจอหน้ากัน (ทั้งคนที่เป็นพนักงานบริษัทและไม่ใช่..เพราะมาในฐานะคู่สมรสเหมือนกัน) แถมงานเลี้ยงเป็นดินเนอร์สุดหรูและทางการ เหล่าบุรุษใส่แบล็คไทด์ (เทรฟเรียก Dinner Jacket ก็ใส่สูทดำผูกหูกระต่ายนั่นแหละ..ทางการไหมล่ะ) ส่วนสาวๆ ก็ว่ากันไปตามแต่จะอยากแต่ง ทุกคนนั่งกินข้าว ณ ที่นั่งที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า (มีชื่อวางบอกไว้ที่โต๊ะ พร้อมรายการอาหารที่จองไว้ก่อนแล้วล่วงหน้าเช่นกัน) โชคดีที่ว่าทั้งโต๊ะมีแค่สามคู่ หกคน..ไม่ได้แออัดแบบโต๊ะจีนบ้านเราเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยเกร็งเรื่องมือไม้จะชนกันกลางอากาศ


โดยรวมๆ เราก็ไม่ได้รู้สึกแย่หรือเกร็งเท่าไหร่ แค่รู้สึกแปลก เพราะไม่รู้จะทำยังไงเท่านั้นเอง ก็เลยนั่งคุยกับเทรฟกันอยู่สองคน ขากลับแอบขโมยลูกโป่งที่ตั้งบนโต๊ะกลับมาบ้านด้วยลูกนึง เย้ๆๆ ดีใจมีลูกโป่งเป็นของตัวเอง


กลับถึงบ้านห้าทุ่ม กว่าจะล้างเครื่องสำอาง อาบน้ำนอนก็ดึกโข..อ้อ ระหว่างทางเรานั่งอธิบายความรู้สึกเราให้เทรฟฟังอย่างละเอียด ประมาณว่า ไม่ใช่เราไม่สนุกนะ แต่แค่ไม่รู้จะทำยังไง ฯลฯ เทรฟพยักหน้าเข้าใจ และบอกว่าทุกคนที่เจอสถานการณ์แบบนี้ก็คงรู้สึกเหมือนกัน เพียงแต่คงไม่มีใครอธิบายมันออกเป็นคำพูดได้เหมือนโปร่งมั้ง เทรฟเองยังสารภาพว่า เขาเองก็ทำตัวไม่ค่อยถูก เพราะมากกว่าครึ่ง เทรฟก็ไม่รู้จัก เพราะเทรฟไม่ได้นั่งออฟฟิศสำนักงานใหญ่ตลอด (ทำงาน ณ สำนักงานของลูกค้าเป็นหลัก) จะรู้จักเฉพาะก็แต่คนที่เคยทำงานด้วยกัน แถมกว่าครึ่งที่รู้จักก็ดันจำชื่อเขาไม่ได้..สรุปก็คือ เทรฟไม่ค่อยชอบงานพวกนี้เท่าไหร่ (ฮา)


เมื่อวานทั้งวัน แม้ว่าบรรยากาศมันอาจจะแปลกๆ แต่เราก็รักกันมากขึ้น..จริงไหมจ๊ะที่รัก จุ๊บๆๆ
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย P'Kai » อังคาร ธ.ค. 15, 2009 2:53 pm

สำนวนเหมือนนักเขียน
ขอภาพประกอบด้วยได้ไม๊คะ

^+
collectmyall@hotmail.com ติดต่อ P'Kai 081 639 1195
ชื่อบัญชี มนัสนันทน์ แย้มกสิกร
ธ.กรุงเทพ 085 011 2616
ธ.กสิกรไทย 074 248 5692
ธ.ไทยพาณิชย์ 172 204 3437
ภาพประจำตัวสมาชิก
P'Kai
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 900
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 11, 2009 11:04 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร ธ.ค. 15, 2009 7:52 pm

กำลังขอเค้าไปอยู่ครับพี่ ไว้เขียนได้เยอะๆแล้วจะรวมพิมพ์เป็นเล่มดีไหมพี่ #(
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย P'Kai » อังคาร ธ.ค. 15, 2009 9:46 pm

lekpn เขียน:กำลังขอเค้าไปอยู่ครับพี่ ไว้เขียนได้เยอะๆแล้วจะรวมพิมพ์เป็นเล่มดีไหมพี่ #(


ดีค่ะ.......จอง 2 เล่ม &!
collectmyall@hotmail.com ติดต่อ P'Kai 081 639 1195
ชื่อบัญชี มนัสนันทน์ แย้มกสิกร
ธ.กรุงเทพ 085 011 2616
ธ.กสิกรไทย 074 248 5692
ธ.ไทยพาณิชย์ 172 204 3437
ภาพประจำตัวสมาชิก
P'Kai
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 900
ลงทะเบียนเมื่อ: ศุกร์ ก.ย. 11, 2009 11:04 pm

Re: ไดอารี่ของสาวไทยที่ไปใช้ชีวิตคู่ที่อังกฤษ

โพสต์โดย lekpn » อังคาร ธ.ค. 15, 2009 10:35 pm

#( #( #( แล้วเมื่อไหร่จะขายหมดเนี่ย $&
รูปภาพ
ภาพประจำตัวสมาชิก
lekpn
THE REAL THING
THE REAL THING
 
โพสต์: 4118
ลงทะเบียนเมื่อ: จันทร์ ก.ย. 07, 2009 7:13 pm

ต่อไป

ย้อนกลับไปยัง TRAVEL / ACTIVITY & EVENTS

ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิกใหม่ และ บุคคลทั่วไป 59 ท่าน