โดย o_PAO » อาทิตย์ ม.ค. 08, 2006 10:30 pm
หลังจากเทคโอเวอร์โรงงานเบียร์อมฤต ซานมิเกลออกกระป๋องมาให้เก็บอีกสองแบบ (ก่อนหน้าคือบลูไอซ์ เรดฮอสส์) เป็นเบียร์ธรรมดา 1 เบียร์ไลท์ 1 เห็นวางขายอยู่ในเซเว่น ใครเก็บกระป๋องเบียร์ก็ลองไปดูกันนะครับ ส่วนข้างล่างเป็นข่าวของซานมิเกล เลือกมาให้อ่านเฉพาะที่เกี่ยวกับซานมิเกล
[quote][size=150] ซานมิเกล จุดพลุตลาดน้ำเมา
เมื่อเดือนมีนาคม 2547 ที่ผ่านมา กับข่าวการย้ายฐานของยักษ์ใหญ่ "มะนิลา ซาน มิเกล คอร์ป" กลุ่มอาหารที่ใหญ่สุดของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศทุ่มงบประมาณกว่า 4,000 ล้านบาท ตั้งโรงงานในประเทศไทย เพื่อผลิตอาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ที่นิคมอุตฯ อมตะนคร เป็นข่าวคราว ที่สร้างความสั่นสะเทือนไปทั่ววงการ
แม้ว่าการเคลื่อนทัพของซาน มิเกล ที่เข้ามาสร้างฐานในไทย จะมีเป้าหมายเพื่อขยายตลาดในเอเชียให้กว้างขึ้น อีกทั้งไทยยังเป็นประตูในการสยายปีกไปสู่ภูมิภาคอินโดจีนอีกด้วย โดยมีแผนการส่วนหนึ่งที่จะทุ่มเงินในตลาดเอเชีย 7 ประเทศแห่งละ 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งขณะนี้ซานมิเกลมีโรงงานเบียร์ในต่างประเทศแล้วหลายแห่ง อาทิ ฮ่องกง จีนออสเตรเลีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
ถึงกระนั้นก็ตาม ค่ายน้ำเมาเจ้าถิ่นในไทยหลายๆค่าย ก็มิวายจะเกรงกลัว เพราะมิเกล มีเครดิตเป็นถึงบริษัทซึ่งครองตลาดเบียร์ สุรา เครื่องดื่ม และอาหารแปรรูปในฟิลิปปินส์ โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซานมิเกลได้ขยายแบรนด์ไปทั่วเอเชียแต่จนถึงขณะนี้บริษัทยังไม่ได้รับผลตอบแทนมาก
นอกจากนั้น ซาน มิเกล ยักษ์ใหญ่ของฟิลิปปินส์ ยังสร้างทางลัด เพื่อเข้ามาชิมลางตลาดเบียร์ในไทย โดยเข้ามาซื้อกิจการของบริษัท ไทยอมฤต บริวเวอรี่ จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลบ้านใหม่ จังหวัดปทุมธานีบนพื้นที่กว่า 100 ไร่ และมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 5 แสนเฮกโตลิตรต่อปี และโรงงานกลั่นเบียร์ที่บางโพธิ์ ใช้เงินลงทุนกว่า 3,988 ล้านบาท เพื่อเพิ่มการผลิตและขยายธุรกิจเครื่องดื่มเบียร์ในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นที่แน่นอนว่าการซื้อกิจการครั้งนี้จะทำให้ซาน มิเกลสามารถเข้าไปทำตลาดเบียร์ยี่ห้อซาน มิเกลในตลาดที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็วในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การเข้าซื้อบริษัทไทยอมฤตฯ ในครั้งนี้ ทำให้ซาน มิเกล กลายเป็นผู้ลงทุนต่างชาติเป็น อันดับ 2 ของในประเทศไทย หลังพบว่าในเดือนมีนาคม ปี่ที่ผ่านมา มียอดขายคืนถึงจุดคุ้มทุนจากการลงทุนกว่า 800 ล้านบาท ในการซื้อที่ขนาด 100 เฮกเตอร์ เพื่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่ใน จ.ระยอง ในปี 2546 พร้อมทั้งเตรียมต่อยอดสร้างโรงงานผลิตภัณฑ์อาหาร เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว และอาหารสัตว์ ต่อด้วยงบลงทุนเพิ่มอีกกว่า 3,700 ล้านบาท เพื่อให้เครือข่ายธุรกิจของบริษัทสามารถเริ่มดำเนินการได้ทันในปี 2548
โดย ซาน มิเกลฯ ตั้งเป้ายอดขายในประเทศไทยไว้ว่าจะมียอดขายทะลุเป้า 40,000 ล้านบาท (1,000 เหรียญสหรัฐ) ให้ได้ภายใน 5 ปีแรก ของการดำเนินธุรกิจในเมืองไทยและในช่วงกลางปี 2548 มีข่าวว่า ซานมิเกล มีแผนจะปั้น "กิริน" แบรนด์ดังจากญี่ปุ่นลงสนามแข่งขันในเมืองไทย
ผู้ผลิตเบียร์ไทย มองด้านดี
ต่อประเด็นที่ ซานมิเกล ยักษ์ใหญ่วงการเบียร์จากฟิลิปปินส์ จะเข้ามาเปิดตลาดในไทยทุกๆค่ายทั้ง บุญรอด ผู้ผลิต เบียร์สิงห์ ลีโอ และไทเบียร์ ,ผู้ผลิตจำหน่ายเบียร์ช้าง กลุ่มบริษัทสุราทิพย์ และบริษัทเบียร์ไทย (1991) จำกัด และไทยเอเชียแปซิฟิค บริวเวอรี่ฯ ผู้ผลิตเบียร์ไฮเนเก้น ต่างให้ความเห็นที่เป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า การมีคู่แข่งรายใหญ่เข้ามา จะส่งผลดีต่อตลาดเบียร์โดยรวมให้เติบโต กระตุ้นทำให้ตลาดรวมขยายตัวมาก เพราะจะมีเม็ดเงินโฆษณาและกิจกรรมส่งเสริมการขายในตลาดมากขึ้น
อีกทั้ง ยังจะได้รับผลดี จากการเพิ่มโอกาสในการทำตลาดจากตลาดที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น ในแง่ของผู้บริโภคจะได้รับผลดีมีทางเลือกในการดื่มมากขึ้น
สิ่งที่น่าใจคือ ก่อนหน้าที่ซาน มิเกล เปิดเกมรุกตลาดเบียร์ในในประเทศไทย ธนิต ธรรมสุคติ ผู้จัดการสำนักงานประชาสัมพันธ์ กลุ่มบริษัทสุราทิพย์ และบริษัทเบียร์ไทย (1991) จำกัด ผู้ผลิตจำหน่ายเบียร์ช้าง ซึ่งมีส่วนแบ่งเป็นอันดับหนึ่งของตลาดเบียร์ เคยให้ข่าวกับหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งว่า
"คิดว่าซานมิเกล คงมองธุรกิจเบียร์ในไทยเป็นตัวเสริมรายได้เท่านั้น และหากจะเข้ามาทำตลาดเบียร์อย่างจริงจัง กลุ่มซานมิเกลฯ น่าจะสนใจตลาดระดับพรีเมียม ซึ่งขณะนี้มีไฮเนเก้นแบรนด์เดียวที่เป็นเจ้าตลาด เพราะดูจากกำลังการผลิตที่กลุ่มซานมิเกลฯ ประกาศไว้ที่กว่า 200 ล้านลิตร ก็คงไม่พอรุกตลาดเบีบร์ระดับล่างซึ่งช้างเป็นผู้นำตลาด"
นั่นก็เป็นเพียงแค่การคาดการณ์ แต่ในสถานการณ์จริงเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซาน มิเกล ก็ได้ออกมาเคลื่อนไหวในตลาดครั้งแรก โดยทดลองวางตลาดเบียร์พร้อมกันทีเดียว 2 แบรนด์คือ