เนื่องมาจากได้ข่าวว่า มีนิทรรศการแผนที่โบราณของไทยมาแสดง แผนที่ชุดนี้ค้นพบเมื่อปีพ.ศ.2539 ในพระบรมมหาราชวัง จึงได้ทูลเกล้าถวายสมเด็จพระเทพฯ พระองค์ทรงให้ศึกษาถึงที่มาที่ไปของแผนที่ชุดนี้ ซึ่งมีทั้งหมด 17 ระวาง แต่นำมาโชว์เพียง 5 ระวาง ตื่นตาตื่นใจมากๆ เพราะเข้าใจว่าแผ่นไม่ใหญ่มาก ปรากฎว่าแผ่นใหญ่เหมือนผ้าม่านใหญ่ๆ บางส่วนขาดชำรุดแต่ผ่านการซ่อมแซมมาแล้ว

ความสำคัญของแผนที่นี้คือ เป็นแผนที่แบบไทยสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เขียนสีบนผ้าฝ้ายเป็นแผนที่การเดินทัพ การเดินเรือไปค้าขายที่เมืองจีน ญี่ปุ่น ซึ่งเขียนละเอียดมาก ไม่ว่าจะเกาะแก่งเป็นยังไง เขียนได้เหมือนภูมิประเทศจริงๆ ต้องไปดูด้วยตาตัวเองครับ นิทรรศการครั้งนี้จัดไปถึงสิ้นเดือนมีนาคมปีนี้ ดูฟรีครับ บรรยากาศดีวิวสวย

ทางขึ้นห้องนิทรรศการ ไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปครับ ชมด้วยตาแล้วเก็บไว้ในความทรงจำครับ หรือจะซื้อหนังสือนิทรรศการเล่มละ 850 ภาษาอังกฤษล้วน ไม่มีภาษาไทย มิน่าคนไทยจึงด้อยความรู้นัก



มุมสวยๆหน้าซุ้มขายตั๋วเข้าชมพิพิธภัณท์

พิพิธภัณท์บ้านจิม ทอมสัน เป็นมูลนิธิเอกชนในพระบรมราชูปถัม สมเด็จพระเทพฯ เดิมเป็นบ้านของนายจิม ทอมสัน สถาปนิกชาวอเมริกันผู้หลงในความเป็นเอเซีย อยู่เมืองไทย 20 กว่าปีแต่ว่าอยู่ที่บ้านนี้เพียง 8 ปี จิม ทอมสันเป็นบุคคลแรกๆที่นำผ้าไหมไทย ให้เป็นที่รู้จักของชาวต่างประเทศ คุณจิมได้หายตัวไปในป่าประเทศมาเลเซียขณะไปท่องเที่ยว



ทางเข้าพิพิธภัณท์ เสียค่าเข้าชม 100 บาทเท่ากันทั้งไทยและเทศ ภายในจะเป็นที่แสดงโบราณวัตถุทั้งของไทย พม่า จีนและญี่ปุ่นที่คุณจิมสะสมมาตลอดที่อยู่ในเมืองไทย









เรือนไทยในมุมต่างๆกัน ใช้เรือนไทยทั้งหมด 5 หลังมาต่อกันเป็นเรือนไทยหลังเดียว ฝาบ้านบางแห่งถูกนำมากลับด้านเพื่อความสวยงาม บางด้านถูกนำมากลับหัวเพื่อจะได้เชื่อมต่อกันได้ง่าย

แน่นอนครับด้านในพิพิธภัณท์ซึ่งก็คือชั้นสองของเรือนไทยไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป แต่ด้านล่างหรือใต้ถุนเรือนไทยถ่ายได้



ไม้แกะสลักเรื่องราวเกี่ยวกับพุทธศาสนาใต้ถุนเรือนไทย อันนี้เป็นปางป่าเลไลย์ สำหรับคนเกิดวันพุทธกลางคืนหรือดาวราหูนั่นเอง


แต่ก็ยังมีเรือนไทยขนาดกลางและขนาดเล็กอย่างละหลังที่เป็นที่แสดงของสะสมที่สามารถถ่ายรูปได้ มาทราบภายหลังว่า เรือนขนาดกลางไว้สำหรับคนสวนพัก ส่วนหลังเล็กสำหรับแม่บ้านพัก







ของสะสมมีหลายยุคตั้งแต่สมัยอยุธยาถึงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

เครื่องลายครามและเครื่องเบญจรงค์มากมายนับไม่ถ้วน





แน่นอนครับเครื่องลายครามนั้นมาจากจีนแน่นอน







ผมชอบชุดข้างบนจังเลยครับ ที่มีตัวอักษรใต้ถ้วยน่ะ ไม่ทราบที่มาเหมือนกัน

แต่ที่นำความแปลกประหลาดใจคือ เรือนไทยหลังกลางเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นที่แสดงภาพวาดบนพื้นผ้าลวดลายเกี่ยวกับพุทธประวัติ แต่ผมคุ้นกับภาพที่แขวนอยู่ด้านบนมากๆ ถามเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบเรื่องราว เลยอย่างมาลองภูมิท่านสมาชิกบอร์ดนี้ซักหน่อย

ท่านใดทราบที่มาของภาพสามภาพนี้บ้างว่า มีที่มาอย่างไร

ภาพบรรยากาศที่เหลือครับ





บ่อปลาทองครับ

นอกจากนี้ยังมีร้านขายของที่ระลึก ที่ทำจากผ้าไหมไทยมากมายหลายแบบ แต่ราคาอาจจะแพงซักหน่อย มีขนมขายด้วยนะครับ คุ๊กกี้อร่อยมากๆ

lekpn เขียน:แต่ที่นำความแปลกประหลาดใจคือ เรือนไทยหลังกลางเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นที่แสดงภาพวาดบนพื้นผ้าลวดลายเกี่ยวกับพุทธประวัติ แต่ผมคุ้นกับภาพที่แขวนอยู่ด้านบนมากๆ ถามเจ้าหน้าที่ก็ไม่ทราบเรื่องราว เลยอย่างมาลองภูมิท่านสมาชิกบอร์ดนี้ซักหน่อย

ไม่ทราบว่าคุณเล็กเจอ แม่หยดกะแม่หยาดบ้างหรือเปล่า บรื๋อออซ์

่ใช่ภาพต้นฉบับป่ะเซียนเล็ก ? ดูแล้วเหมือนเด็กวาดด้วยสีโปสเตอร์เนอะ

โธ่เวรกำ คุณเล็กปูเรื่องซะสวยหรู พี่ยุทธชักใบซะเรือเสียโม้ด ของเก่าๆคงประเมินค่าไม่ได้ครับ แล้วร้านผ้าไหมใครเป็นเจ้าของครับ เคยไปซื้อกับคุณแม่ ราคาไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนไทยเลย

หน่อง เขียน:่ใช่ภาพต้นฉบับป่ะเซียนเล็ก ? ดูแล้วเหมือนเด็กวาดด้วยสีโปสเตอร์เนอะ

คำพูดนี้สมัยนี้เค้าเรียกว่า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ครับ

ไม่ทราบว่าคุณเล็กเจอ แม่หยดกะแม่หยาดบ้างหรือเปล่า บรื๋อออซ์

เจอแต่คุณกำไลครับ ฮิ ฮิ ฮิ

แล้วร้านผ้าไหมใครเป็นเจ้าของครับ เคยไปซื้อกับคุณแม่ ราคาไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนไทยเลย

โห..... ไฮโซนะเนี่ย ใช้ผ้าไหมจิมซะด้วย ร้านผ้าไหม ไม่แน่ใจว่าจะเป็นของมูลนิธิหรือเปล่านะครับ

มาดูลายเซ็นใกล้ๆอีกทีครับ





อยากรู้เหมือนกันว่าเป็นต้นฉบับหรือเปล่า แล้วมาอยู่นี่ได้ไงเนี่ย

อยู่ตรงมุมถ.สี่พระยาใช่ป่าว...กว้างขวางดูร่มรื่นมาก

น้ำมะเน็ด เขียน:อยู่ตรงมุมถ.สี่พระยาใช่ป่าว...กว้างขวางดูร่มรื่นมาก

ไม่ใช่ครับ อยู่ที่ซอยเกษมสันต์ 1 หรือ 2 นี่แหละครับ ตรงข้ามกับสนามศุภฯอ่ะครับ